แม้ปีนี้ ‘อาเซียน’ จะก้าวสู่การเป็น ‘ทำเลยุทธศาสตร์’ ที่ร้อนแรงสำหรับบิ๊กเทคนำโดย Microsoft ช่วงกลางปีต่อเนื่องด้วย Nvidia ที่ทยอยประกาศการลงทุนสนับสนุนโครงสร้างเทคโนโลยีให้ตลาดน้องใหม่ รวมมูลค่าลงทุนแล้วกว่า 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตามข้อมูลชี้ให้เห็นว่าขณะที่เทคโนโลยีระดับโลกขยายตัวในภูมิภาคนี้ บริษัทและสตาร์ทอัพท้องถิ่นจำนวนมากกลับพัฒนาไปอย่างเชื่องช้า
ข้อมูลจาก Preqin ระบุว่า การลงทุนโดย VC ในสตาร์ทอัพ AI ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปีนี้มีข้อตกลงเกิดขึ้นเพียง 122 ดีล รวมมูลค่าเพียง 1.7 พันล้านดอลลาร์ จากมูลค่าประมาณ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกทั้งหมด ซึ่งมีข้อตกลงเกิดขึ้นทั้งหมด 1,845 ดีล ความไม่สอดคล้องกันนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับมุมมองต่อภูมิภาคที่กำลังพัฒนาอย่างหนักในเรื่อง AI
นอกจากนี้การระดมทุนผ่านกองทุนภายในอาเซียนโดยรวมยังมีแนวโน้มลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปี โดยสามารถดึงดูดการระดมทุนได้ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 สะท้อนความนิยมที่ลดลงในตลาดกำลังพัฒนา จากข้อมูลของ Google, Temasek Holdings Pte และ Bain & Co. แสดงให้เห็นว่าการระดมทุนของบริษัทเอกชนในอาเซียนมีแนวโน้มที่จะลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยชะลอตัวลงอย่างรวดเร็วจากระดับสูงสุดในช่วงการระบาดใหญ่ เนื่องจากนักลงทุนมีความระมัดระวังมากขึ้นสำหรับการลงทุนในสตาร์ทอัพระยะเริ่มต้น
แม้ว่ารายงานจะระบุถึงศักยภาพของอาเซียนที่มีบริษัทสตาร์ทอัพด้าน AI มากกว่า 2,000 แห่ง ซึ่งมากกว่าเกาหลีใต้และเกือบจะเท่ากับญี่ปุ่นและเยอรมนี อีกทั้งอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลโดยรวมกลับเติบโตในอัตราสองหลักทั้งในแง่ของรายได้และกำไร
แต่กระนั้นความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจในอาเซียน ทำให้ความพยายามในการทำตลาดหรือขยายผลิตภัณฑ์และบริการมีความซับซ้อน ประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มุ่งเน้นไปที่วาระที่แตกต่างกันอย่างมาก บางประเทศมุ่งเน้นที่การพัฒนาภาคส่วนเทคโนโลยีขั้นสูง บางประเทศมุ่งเน้นที่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและสภาพความเป็นอยู่ขั้นพื้นฐาน
ความแตกต่างเหล่านี้ทำให้ความต่อเนื่องในการพัฒนานวัตกรรมแบบก้าวกระโดดในระดับภูมิภาคเจออุปสรรค ซึ่งนำไปสู่คำถามที่นักลงทุนถามอยู่เสมอว่าบริษัทเทคโนโลยีในท้องถิ่นสามารถแข่งขันในเวทีระดับโลกได้อย่างมีกำไรหรือไม่
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันรัฐบาลท้องถิ่นในภูมิภาคไม่ได้นิ่งเฉย หลายประเทศได้พัฒนากรอบงาน AI ระดับชาติของตนเอง และยังมีโอกาสในการสร้างความร่วมมือที่มากขึ้นเพื่อกอบโกยประโยชน์มาสู่กลุ่มอุตสาหกรรมสตาร์ทอัพในท้องถิ่น ซึ่งการผลักดันนี้ต้องการความร่วมมือที่มากขึ้นระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมทั้งหมด ทั้งหน่วยงานกำกับดูแล รัฐบาล ผู้ให้บริการ ซัพพลายเออร์ และผู้บริโภค
อ้างอิงข้อมูลจาก Bloomberg
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -