"พิมพ์ภัทรา" วางเดิมพัน "ญี่ปุ่น" ปักธงพัฒนาทักษะแรงงาน-ผลักดันสตาร์ตอัพ

Tech & Innovation

Startup

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

Tag

"พิมพ์ภัทรา" วางเดิมพัน "ญี่ปุ่น" ปักธงพัฒนาทักษะแรงงาน-ผลักดันสตาร์ตอัพ

Date Time: 15 ก.พ. 2567 09:50 น.

Summary

  • “พิมพ์ภัทรา” ประกาศผลสำเร็จการเยือนญี่ปุ่นลงนามความร่วมมือ “เมติ” ใน 4 ประเด็นหลัก อาทิ การเพิ่มทักษะแรงงานในภาคอุตสาหกรรมในระยะยาว ขยายความร่วมมือกับ SMRJ ให้ช่วยพัฒนาสตาร์ตอัพไทย ขณะที่ NEDO จะมาช่วยพัฒนารถบัส รถบรรทุก รถโฟร์กลิฟต์ ที่ใช้พลังงานไฮโดรเจนสำหรับใช้ในนิคมอุตสาหกรรม

Latest

กองทุน Disrupt ลงทุนใน DiaMonTech สตาร์ทอัพพัฒนานวัตกรรม วัดระดับกลูโคสแม่นยำ ไม่ต้องเจาะเลือด

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยหลังการ นำทีมคณะผู้บริหาร กระทรวงอุตสาหกรรม อาทิ นายภาสกร ชัยรัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) เข้าหารืออย่างเป็นทางการกับ นายไซโตะ เคน รมว.กระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม (เมติ) ประเทศญี่ปุ่น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อประชุมต่อยอดความร่วมมือแลกเปลี่ยนกรอบการทำงาน (Cooperation Framework) กับเมติ โดยได้เน้นย้ำกับเมติว่าประเทศไทยและญี่ปุ่นถือเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญของกันและกันมาอย่างยาวนาน และปัจจุบันญี่ปุ่นก็ยังคงเป็นประเทศที่มีสัดส่วนมูลค่าการลงทุนในประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ซึ่งจากนี้ไปทั้ง 2 ฝ่ายจะเน้นการดำเนินงานร่วมกันในทุกๆด้าน

ตำนานความสัมพันธ์ “ไทย-เมติ”

ทั้งนี้ ระหว่างการหารือฝ่ายไทยได้เน้นย้ำความสำคัญของความร่วมมือระหว่างกันในการพัฒนาอุตสาหกรรมของทั้ง 2 ประเทศ เพื่อรองรับและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ จากกระแสการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่กำลังอยู่ในความสนใจของผู้คนทั่วโลก อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และอุตสาหกรรมการแพทย์และการดูแลสุขภาพ เป็นต้น

ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการร่วมกันขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยให้เติบโตและก้าวทันยุคสมัย กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ลงนามความร่วมมือระหว่างประเทศกับญี่ปุ่นมาอย่างต่อเนื่อง และมีการแลกเปลี่ยนกรอบการทำงานระหว่างกัน 2 ฉบับ ในปี 2561 และ 2565 ที่ได้เน้นการยกระดับภาคอุตสาหกรรมสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมของไทยและต่อยอดการพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทย รวมถึงกระตุ้นการเติบโตและสร้างวงจรการผลิตที่เข้มแข็งให้กับภาคอุตสาหกรรมไทย-ญี่ปุ่น

เปิด 4 แผนพัฒนาอุตสาหกรรมไทย

ดังนั้น ในการหารือร่วมกันครั้งนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายได้มีการแลกเปลี่ยนกรอบการทำงาน ฉบับใหม่ระหว่างกัน โดยจะเน้นการพัฒนาใน 4 ประเด็น ประกอบด้วย 1.การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในอุตสาหกรรมการผลิต เพื่อรองรับการขยายตัวในภาคการผลิต โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ 2.ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งรวมทั้งในระหว่างกระบวนการผลิตและในนิคมอุตสาหกรรม 3.การเสริมสร้างความสามารถในการฟื้นตัวของห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมการผลิต

รวมถึงการส่งเสริมมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการลดปริมาณของเสียหรือชิ้นส่วนจากยานยนต์ (End-of-Life Vehicle) และ 4.การพัฒนาพลังงาน สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ที่มีเป้าหมายเพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นฐานการผลิตและส่งออกยานยนต์สมัยใหม่แห่งภูมิภาค

พร้อมกันนี้ ยังได้หารือกับ 2 องค์กรพันธมิตรสำคัญ ได้แก่ องค์การเพื่อวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและนวัตกรรมภูมิภาคแห่งประเทศญี่ปุ่น (SMRJ) โดยฝ่ายไทยได้ขอให้ SMRJ ขยายการเชื่อมโยงและขยายเครือข่ายผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ไทย-ญี่ปุ่น และการยกระดับการบ่มเพาะ พัฒนาสร้างเครือข่ายสตาร์ตอัพ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเชิงลึก การแพทย์ สิ่งแวดล้อม และอวกาศ

นอกจากนี้ ยังได้เข้าหารือกับองค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น (NEDO) โดยได้ข้อสรุปว่า ทั้ง 2 ฝ่ายจะมีการร่วมกันวางกรอบแนวทางความร่วมมือไว้ 4 กิจกรรม คือ 1.โครงการการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 2.โครงการพัฒนารถบัส รถบรรทุก และรถโฟร์กคลิฟต์ ที่ใช้พลังงานไฮโดรเจนเพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมตามนิคมอุตสาหกรรม 3.โครงการ CCUS หรือการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และ 4.โครงการรีไซเคิลมอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า

ดึงญี่ปุ่นผลิตอาหารฮาลาล

ขณะเดียวกัน ยังได้ประชุมร่วมกับองค์กรด้านการส่งเสริมและพัฒนามาตรฐานฮาลาลของญี่ปุ่น (JAHADEP) เพื่อการขยายความร่วมมือกับอุตสาหกรรมฮาลาลของญี่ปุ่นให้เกิดการลงทุนในประเทศไทยและใช้ประโยชน์จากความอุดมสมบูรณ์ด้านวัตถุดิบของไทย เพื่อเป็นฐานการผลิตและส่งออกอาหารญี่ปุ่น สำหรับผู้บริโภคอาหารฮาลาลไปสู่ตลาดที่มีศักยภาพ ตามแนวคิดครัวไทยสู่ครัวโลกที่คาดว่าจะมีเอกชนของญี่ปุ่นสนใจมาลงทุนในประเทศไม่ต่ำกว่า 800 ราย สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท

ดังนั้น จึงได้สั่งการให้ดีพร้อมในฐานะเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมระหว่างไทยและญี่ปุ่น ไปจัดทำแผนงานการต่อยอดและขยายผลกรอบการทำงาน (Framework) ฉบับใหม่ที่มีการร่วมลงนามในครั้งนี้ เพื่อเป็นการขยายความร่วมมือและสร้างโอกาสให้กับภาคอุตสาหกรรมไทย ภายใต้แนวนโยบาย DIPROM Connection (การขยายความร่วมมือกับผู้ประกอบการ)

“ความสำเร็จในการหารือครั้งนี้จะช่วยทำให้เกิดการพัฒนาร่วมกันของทั้ง 2 ฝ่าย ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมของไทยสามารถปรับตัวเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงในบริบทต่างๆจากการเข้ารับการอบรมในแผนงานต่างๆที่จะเกิดขึ้นจากนี้ไป อาทิ แผนการพัฒนาความรู้ของบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน ผ่านการประยุกต์ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ต่างๆ เช่น Robotic (หุ่นยนต์), IoT (อินเตอร์เน็ตออฟติงส์), Automation (ระบบอัตโนมัติ) เป็นต้น”

แผนงานทั้งหมดนี้ เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ ในกระบวนการผลิตและการจัดการ และยกระดับกระบวนการผลิต ทั้งระบบสู่แนวทางอุตสาหกรรมสีเขียว ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และนำกลับมาใช้ใหม่ และการพัฒนาพลังงานทางเลือก สำหรับยานยนต์สมัยใหม่ การรีไซเคิล-อัปไซเคิลวัสดุต่างๆอย่างครบวงจร โดยเฉพาะซากยานยนต์ที่มีเพิ่มขึ้นโดยตลอด มาตรการเหล่านี้เปรียบได้กับบัตรผ่านทางในการทำธุรกิจและการส่งออกสินค้าไทยไปสู่เวทีโลก ในอนาคต โดยไม่มีข้อติดขัดหรืออุปสรรคทางการค้า.

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ