นายกระทิง พูนผล ประธานกองทุน Disrupt Health Impact Fund กองทุน 500 TukTuks และ ORZON Ventures เปิดเผยว่า มูลค่าเศรษฐกิจโลกในปี 2586 คาดการณ์จะเติบโตถึง 100 ล้านล้าน ($100 trillion) เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3,379 ล้านล้านบาท โดยมี Healthcare เป็นหนึ่งใน 3 ตัวขับเคลื่อนหลัก จากสังคมสูงวัยและแนวโน้มอายุขัยเฉลี่ยพลเมืองโลกที่มีอายุยืนขึ้น ผนวกกับเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก ที่นำไปสู่การพลิกโฉมทางการแพทย์ นอกจากนี้ ตลาดการดูแลตัวเอง หรือ Self-care เป็นตลาดต้องจับตามอง ทั้งจากการผลักดันแนวคิดการดูแลสุขภาพโดยเน้นคุณค่า หรือ Value - Based Health Care ของหน่วยงานภาครัฐทั่วโลก กับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใส่ใจการดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่งผลตลาด Self-care medical device ได้รับการคาดการณ์ว่าจะเติบโตจาก 24.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ ($24.4 Billion) หรือประมาณ 825 พันล้านบาท ในปี 2566 เพิ่มเป็น 42.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ($42.6 Billion) หรือประมาณ 1,440 พันล้านบาท ในปี 2575 ซึ่งการลงทุนใน DiaMonTech จึงเป็นโอกาสสร้างการเติบโตในอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ เพราะการตรวจวัดค่าน้ำตาลเป็นปัญหาสำคัญ เป็นที่ต้องการมากในตลาด และมีมูลค่าตลาดรวมขนาดใหญ่ ครอบคลุมทั้งผู้ป่วยและกลุ่มคนทั่วไป ที่สำคัญคือเป็นโซลูชันที่สามารถขยายไปได้ทั่วโลก
นางสาวจันทนารักษ์ ถือแก้ว กรรมการผู้จัดการ ดิสรัปท์ เทคโนโลยี เวนเจอร์ หรือ Disrupt และผู้บริหารกองทุน Disrupt Health Impact Fund กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งกับโอกาสในการเข้าลงทุนกับ “DiaMonTech” สตาร์ทอัพ DeepTech สัญชาติเยอรมัน ผู้คิดค้นและเป็นเจ้าของสิทธิบัตรนวัตกรรมการตรวจวัดระดับกลูโคสในร่างกายโดยไม่ต้องเจาะเลือด เพียงวางนิ้วมือบนเครื่อง 30 วินาทีก็สามารถวัดค่าได้ ทำให้วัดค่าได้บ่อยและสะดวกกว่าการเจาะเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยเบาหวานกว่า 530 ล้านรายทั่วโลก เบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ใช้เวลานานในการรักษา และอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้ ในประเทศไทยมีผู้เป็นเบาหวานมากถึง 5.2 ล้านคน หรือ 1 ใน 11 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เราเชื่อว่าเทคโนโลยีของ DiaMonTech จะช่วยให้การ self-care เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายในชีวิตประจำวันมากขึ้น และยังได้ข้อมูลที่จะช่วยให้แพทย์สามารถติดตามอาการได้ดีขึ้น ซึ่งจะสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างมากต่อชีวิตผู้คน ทั้งกลุ่มผู้ป่วย และกลุ่มคนทั่วไปในการป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นเบาหวาน”
นางสาวณรัณภัสสร์ ฐิติพัทธกุล ผู้บริหารกองทุน Disrupt Health Impact Fund กล่าวรายละเอียดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และกระบวนการวิเคราะห์คัดเลือกบริษัทในการเข้าไปลงทุนว่า ทางกองทุน Disrupt Health Impact Fund เฟ้นหาสตาร์ทอัพทั่วโลกมากกว่า 1,000 ราย และคัดเลือกเพียง 97 รายที่ตรงกับเกณฑ์ ก่อนคัดกรองเหลือเพียง 49 รายและนำไปวิเคราะห์ศึกษาข้อมูลเพื่อนำเสนอต่อคณะกรรมการลงทุน ซึ่งมี DiaMonTech เพียงรายเดียวที่ได้รับการสนับสนุนจากเสียงส่วนมากของทั้งผู้บริหารกองทุน ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จากทางเครือโรงพยาบาลสมิติเวช และคณะที่ปรึกษาด้านการแพทย์และวิศวกรรมจากทางมหาวิทยาลัยมหิดล
“เหตุผลหลักที่เลือกลงทุนกับ DiaMonTech คือเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนและเลียนแบบยาก เจ้าของสิทธิบัตรพัฒนามาจากงานวิจัยกว่า 10 ปีของศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเกอเธ่ จากการศึกษาตลาดเครื่องวัดกลูโคสทั่วโลก พบว่าหลายบริษัทได้พยายามคิดค้นวิธีการวัดระดับกลูโคสในร่างกายแบบไม่ต้องเจาะเลือด ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ความท้าทายหลักก็คือความในการตรวจวัดที่แม่นยำเทียบเท่ากับการเจาะเลือด วิธีการของ DiaMonTech มีความน่าเชื่อถือเพราะเป็นการวิจัยแบบการศึกษาไปข้างหน้า หรือ prospective study และผลวิจับยังได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการระดับโลกอีกด้วย ทำให้เรามั่นใจว่าการสนับสนุน DiaMonTech จะช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อการดูแลสุขภาพของประชาชน และเป็นการลงทุนที่มีโอกาสเติบโตสูง” นางสาวณรัณภัสสร์ กล่าว
นายธอร์สเทน ลูบินสกี ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหาร DiaMonTech กล่าวว่า เครื่องวัดระดับกลูโคสในร่างกายโดยไม่ต้องเจาะเลือด หรือ D-pocket ขณะนี้กำลังอยู่ช่วงขอการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ก่อนนำออกสู่ตลาด การได้รับเงินลงทุนและความร่วมมือจากกองทุน Disrupt Health Impact Fund ในครั้งนี้เป็นโอกาสและจังหวะที่ดีมากสำหรับ DiaMonTech ในการขยายและเชื่อมต่อโอกาสในการสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน และกลุ่มผู้ที่ต้องการดูแลระดับน้ำตาลในเลือดเพื่อการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งในประเทศไทย เพราะทางกองทุนไม่เพียงแต่ให้เงินลงทุน แต่ยังมีเครือข่ายที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Healthcare ทั้งจากภาครัฐและเอกชนในไทยและในภูมิภาค รวมทั้งแพลตฟอร์มระบบนิเวศของ Disrupt ซึ่งจะช่วยให้ DiaMonTech สามารถนำนวัตกรรมดังกล่าวเข้าไปถึงผู้คนได้มากขึ้นและเร็วขึ้น
กองทุน Disrupt Health Impact Fund มีเป้าหมายลงทุนระยะแรกราว 17 – 50 ล้านบาทต่อ 1 บริษัท โดยในช่วง 3 – 5 ปีจากนี้ มีแผนลงทุนใน 15 บริษัท DeepTech ด้าน Healthcare ทั้งในไทยและต่างประเทศ ด้วยนโยบายลงทุน 5 ด้าน คือ การดูแลสุขภาพด้วยตนเอง (Self Care) เวชศาสตร์ป้องกันโรค (Preventive Care) ผู้สูงวัย (Silver Age) การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Wellness) และ โรงพยาบาลอัจฉริยะ (Smart Hospital) โดยเฟ้นหานวัตกรรมระดับโลกในระยะออกสู่ตลาดแล้ว (Commercialized) หรืออยู่ระหว่างการวิจัยในคน (Clinical Trial) เพื่อขอการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ในด้านของนักลงทุน ปัจจุบันกองทุนมีนักลงทุนรวม 7 ราย เพิ่มขึ้นจากเดิม 3 รายซึ่งเป็นนักลงทุนส่วนบุคคลที่สนใจธุรกิจ Health & Wellness ที่ต้องการร่วมกันต่อยอดโอกาสทางธุรกิจและเพิ่มโอกาสในการลงทุนตรงในบริษัทที่มีศักยภาพ ทั้งนี้ กองทุนยังคงเปิดรับพันธมิตรที่สนใจร่วมลงทุนในกองทุน รวมทั้งยังคงมองหาและพิจารณาบริษัท DeepTech ด้าน Healthcare เพื่อเข้าร่วมลงทุน