ถอดสูตรสร้าง Bolt ที่เริ่มต้นจาก CEO วัย 19 ปี สำเร็จได้ไม่จำเป็นต้องแตกต่างเสมอไป

Tech & Innovation

Startup

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

ถอดสูตรสร้าง Bolt ที่เริ่มต้นจาก CEO วัย 19 ปี สำเร็จได้ไม่จำเป็นต้องแตกต่างเสมอไป

Date Time: 3 ส.ค. 2566 18:44 น.

Video

ล้วงไส้ TEMU อีคอมเมิร์ซจีน บุกไทย ทำไมอาจสร้างวิบากกรรมกว่าที่คิด ? | Digital Frontiers

Summary

  • รู้จัก Bolt แอปเรียกรถแสนล้านสัญชาติเอสโตเนีย กับกลยุทธ์ทำในสิ่งที่ถนัด ไม่เกินตัว ไม่ต้องรีบสำเร็จเหมือนใคร กับความเชื่อในการทำธุรกิจที่ ไม่ใช่แค่ ‘เกมราคา’ แต่เชื่อว่าตนเอง ‘รู้ใจ’ ผู้ใช้งานเป็นอย่างดี

คัมภีร์สูตรสำเร็จมักบอกให้เราเริ่มต้นธุรกิจด้วยความแตกต่าง ‘ของต้องห้าม’ คือ การรีบกระโดดเข้าสู่ ‘Red Ocean’ เพราะปลาเล็กอาจตายน้ำตื้นด้วยประสบการณ์ที่ยังไม่แก่กล้าพอจะต่อกรกับเสือสิงห์กระทิงแรดในสนามได้

แต่นั่นไม่ใช่สำหรับ มาร์คัส วิลลิก (Markus Villig) ผู้บริหารและผู้ก่อตั้ง ‘โบลต์’ (Bolt) แอปพลิเคชันเรียกรถสัญชาติเอสโตเนีย ที่ในขณะนั้นโลกได้ถือกำเนิด ‘อูเบอร์’ (Uber) แอปฯ เจ้าตลาดในปี 2009 มาก่อนหน้าแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ‘มาร์คัส’ ยังปักธงเริ่มต้นธุรกิจในวัย 19 ปี เดิมพันด้วยการลาออกจากมหาวิทยาลัยในขณะที่ธุรกิจยังไม่ได้มีมูลค่าสูสีเทียบเคียงกับอูเบอร์ เพราะเชื่อว่า ตนเอง ‘รู้ใจ’ ผู้ใช้งานเป็นอย่างดี ไม่ใช่แค่ ‘เกมราคา’ แต่ยังเลือกจะสร้างรากฐานให้มั่นคงหนักแน่น ไม่ด่วนใจเร็วติดสปีดธุรกิจด้วยการอัดฉีดเม็ดเงิน แต่เลือกที่จะพุ่งเป้าไปยัง ‘โฟกัส’ ของแบรนด์ และการหา ‘Pain Point’ ที่ยังไม่มีใครถอดสลักได้

Bolt ทำในสิ่งที่ถนัด ไม่เกินตัว ไม่ต้องรีบสำเร็จเหมือนใคร

‘มาร์คัส วิลลิก’ เคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นบีซี (CNBC) ว่า ตนมีเป้าหมายตั้งแต่อายุ 12 ปีว่าต้องการสร้างบริษัทเทคโนโลยีของตัวเอง เขาเริ่มธุรกิจจาก การสำรวจ ‘Pain Point’ ส่วนตัว จากนั้นจึงขยายไปยังเพื่อนรอบข้างว่ามีใครพบเจอปัญหาการเรียกรถบ้าง ปรากฏว่า มีคนประสบปัญหาแบบเดียวกันไม่น้อย มาร์คัสจึงเริ่มทำแอปฯ เรียกรถง่ายๆ แบบ ‘ธุรกิจในครัวเรือน’ ในนาม ‘Taxify’ เมื่อเริ่มไปได้สวย เขาตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยในวัย 19 ปี และทำให้ต่อมา มาร์คัส วิลลิก ในวัย 25 ปี ขึ้นสู่ทำเนียบผู้ก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพที่อายุน้อยที่สุดในยุโรป

สูตรสำเร็จของมาร์คัสเริ่มจากการทำในสิ่งที่สนใจและเป็นเรื่องที่ลูกค้าต้องการ อย่างที่เล่าไปก่อนหน้าว่า มาร์คัสจุดไฟจาก ‘Pain Point’ ของตนเองก่อน จากนั้นจึงพบว่า มีคนประสบปัญหาแบบเดียวกันมากมาย แม้ว่าในตอนนั้นจะมี ‘อูเบอร์’ แล้วก็ตาม แต่มาร์คัสก็ได้ค้นพบช่องโหว่สำคัญอย่างรูปแบบการชำระเงินของอูเบอร์ที่รับเฉพาะบัตรเครดิตเท่านั้น โดยมีบางประเทศที่อูเบอร์เข้าไปทำการตลาดก่อนแล้วแต่ธรรมชาติของผู้คนในท้องถิ่นนิยมใช้เงินสดมากกว่า ‘โบลต์’ ที่ยังมีขนาดเล็กจึงสามารถปรับตัวได้ไม่ยากนัก

ในขณะที่ ‘อูเบอร์’ หรือกระทั่ง ‘แกร็บ’ (Grab) ที่เริ่มแตกไลน์ธุรกิจไปยังตลาดเดลิเวอรี่ ส่งพัสดุ รวมถึงมีรูปแบบรถให้เลือกหลากหลายตั้งแต่มอเตอร์ไซค์ไปจนถึงรถหรู ‘โบลต์’ ยังคงโฟกัสที่ธุรกิจเรียกรถอย่างเดียว โดยในช่วงแรกยังเริ่มต้นเพียงรถยนต์เท่านั้นด้วย มาร์คัสบอกว่า ในฐานะผู้ประกอบการคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับไอเดียอื่นๆ มากมาย คู่แข่งเราทำอะไรอยู่ เจ้าตลาดไปถึงไหนแล้ว ความต้องการของผู้บริโภคขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างไร ฯลฯ มาร์คัสบอกว่า ท้ายที่สุดแล้วเราจะค้นพบความจริงที่ว่า ไม่มีใครทำทุกอย่างพร้อมกันได้ นี่คือเหตุผลที่ ‘โบลต์’ เลือกทำทีละอย่าง โดยใน 5 ปีแรกของบริษัท มาร์คัสเลือกทำเพียงธุรกิจเรียกรถอย่างเดียวเท่านั้น

เขาค่อยๆ เรียนรู้ความต้องการของผู้คนแต่ละพื้นถิ่นอย่างละเอียดถี่ถ้วน ตลาดในยุโรปและเอเชียไม่มีทางเหมือนกันไปทั้งหมด ในเวลาต่อมาจึงค่อยๆ ขยายสัดส่วนรถรับจ้างไปยังสกูตเตอร์ไฟฟ้า และฟู้ด เดลิเวอรี่ เขามองว่า ธุรกิจเรียกรถเป็นเพียง ‘Scratching the surface’ หรือจุดเริ่มต้นของธุรกิจ ‘โบลต์’ จะยังเติบโตต่อไป สำหรับประเทศไทยในตอนแรกมีเพียงรถยนต์และรถแท็กซี่ รวมถึงรูปแบบการชำระเงินก็มีเพียงการจ่ายเงินสดด้วย ซึ่งปัจจุบันโบลต์ได้เพิ่มมอเตอร์ไซค์เข้ามาในตัวเลือก รวมถึงการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตที่ได้รับความนิยมมากกว่า

เป็นผู้บริหารต้องลงรายละเอียดได้ และปล่อยให้ลูกน้องได้มีอิสระบ้าง

แม้ว่าตำแหน่งผู้บริหารจะเน้นมองภาพรวมมากกว่าลงมือทำ แต่มาร์คัสกลับคิดต่างออกไป เขากันตารางตัวเองในทุกๆ สัปดาห์เพื่อโฟกัสกับการพัฒนาโปรดักต์เชิงลึก ยกตัวอย่างเช่น ในสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคม มาร์คัสจะลงลึกวิเคราะห์รายละเอียดธุรกิจในเมือง A ทุกซอกทุกมุม ราคาของโบลต์ในเมืองนี้สมเหตุสมผลหรือไม่ ได้รับการตอบจากผู้บริโภคอย่างไร รายได้คนขับเป็นอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองอื่นๆ เขามองว่า การลงรายละเอียดเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้บริหารไม่ควรมองข้าม

ตรงกันข้ามกับเรื่อง ‘คน’ สิ่งเดียวที่เป็นระเบียบบังคับพนักงานในองค์กร คือ ทุกคนต้องสื่อสารกันผ่าน ‘สแล็ค’ (Slack) นอกเหนือจากนี้ทุกคนสามารถเลือกหาเครื่องมือหรือโซลูชันอื่นๆ ในการทำงาน-บริหารจัดการทีมได้ตามความถนัด นอกจากนี้ มาร์คัสยังเลือกจ้างพนักงานจากคุณสมบัติการเป็น ‘Active Learner’ มากกว่าเลือกคนมีประสบการณ์ มองว่า หากมีแรงจูงใจมากพอคนเหล่านี้จะวิ่งตามคนเก่งมีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็วและทำงานได้ดีขึ้นเอง

ด้วยมุมมองแบบนี้ ทำให้มาร์คัสเลือกมองในสิ่งที่ลงรายละเอียดอย่างมีนัยสำคัญมากกว่า ในที่นี้รวมถึงการเลือกเจาะตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตสูงมากกว่าเลือกจากขนาดของก้อนเค้ก รู้หรือไม่ว่า ‘โบลต์’ เริ่มเจาะธุรกิจในแถบแอฟริกาและยุโรปกลางเป็นอันดับแรกซึ่งเป็นตลาดที่มักถูกมองข้าม การแข่งขันที่น้อยกว่าบวกกับการเติบโตของสมาร์ทโฟนดัน ‘โบลต์’ สร้างยอดมูลค่าพันล้านดอลลาร์ได้ก่อนใคร

การสยายปีกของยูนิคอร์นตัวนี้จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่ถูกคิดมาอย่างรอบด้านแล้ว แม้ในน่านน้ำเดียวกันจะมีคู่แข่งครองตลาดก็ตาม การใช้จุดแข็งของตัวเอง บุกตลาดที่หลายคนมองข้าม แก้ ‘Pain Point’ ให้ถูกจุด และไม่ลืมที่จะให้ความสำคัญกับคนทำงาน คือ หัวใจสำคัญที่ส่งให้แอปพลิเคชันเรียกรถของเศรษฐีอายุน้อยร้อยล้านประสบความสำเร็จ

 

อ้างอิง CNBC GQ Magazine Forbes Sky 


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์