CHG ผนึก PTG ทุ่ม 136 ลบ. ลงทุน ‘อรินแคร์’ สตาร์ทอัพแพลตฟอร์มร้านขายยาออนไลน์ ในรอบ Series B ต่อยอดระบบนิเวศ Health Tech ไทย พร้อมดัน IPO ตลาดหุ้น mai ในปี 2569
นายธีระ กนกกาญจนรัตน์ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรินแคร์ จำกัด สตาร์ทอัพไทยผู้ให้บริการแพลตฟอร์มร้านขายยาออนไลน์ เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการระดมทุนและปิดดีลในรอบ Series B ด้วยมูลค่า 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 136 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) จากกลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) เป็นผู้ร่วมลงทุนหลัก (Lead Investor) ร่วมด้วย MAX Ventures ซึ่งเป็น Corporate Venture Capital (CVC) ในกลุ่ม PTG
โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนในรอบ Series B บริษัทจะนำเงินไปใช้ใน 3 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ ยกระดับโครงสร้างของระบบซัพพลายเชน ลงทุนในเทคโนโลยีโดยเฉพาะ Machine Learning (ML) และ Advance Technology ที่นำมาใช้กับร้านขายยา รวมถึงจะมีการนำมาใช้ปรับระบบการควบคุมภายใน (Internal Control) ต่างๆ เพื่อเตรียมตัวในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในปี 2569
“การร่วมมือกับ 2 พันธมิตรยักษ์ใหญ่ถือเป็นการขยายโอกาสการเติบโตของอรินแคร์จากตลาดร้านขายยา 3.5 หมื่นล้านบาท สู่ตลาดยามูลค่า 150,000 ล้านบาท เราคาดว่าจะสามารถทำกำไรได้ภายในปีนี้ โดยปัจจุบันอรินแคร์มีเภสัชกรและร้านขายยาชุมชนบนแพลตฟอร์มมากกว่า 3,000 ราย และตั้งเป้าว่าจะเพิ่มจำนวนอีกเท่าตัวภายในปี 2569” นายธีระกล่าว
ความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่กลุ่ม CHG และ PTG เข้ามาลงทุนนั้น จะมีการเชื่อมโยงเภสัชกรและร้านขายยาชุมชนบนเครือข่ายของอรินแคร์เข้ากับทีมการแพทย์ของ CHG เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลสุขภาพคนในชุมชนได้อย่างครอบคลุมทั่วประเทศ
พร้อมกันนี้ยังร่วมจับมือกับ MaxCard ของ PTG ซึ่งเป็นเครือข่ายที่เข้าถึงผู้บริโภคคนไทยได้มากที่สุด เสริมแกร่งให้กับเภสัชกรและร้านยาชุมชนที่เป็น SME ท้องถิ่นให้เข้มแข็ง เพิ่มการดูแลและบริการด้านสุขภาพให้กับคนไทยผ่าน MaxCard
ปัจจุบันประเทศไทยมีร้านขายยากว่า 20,000 ร้านทั่วประเทศ โดย 80% เป็น SME และมีเพียง 20% เป็นของแฟรนไชส์หรือผู้ประกอบการรายใหญ่ ในปี 2562 มีมูลค่า 35,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 7% แต่มูลค่าตลาดที่เกี่ยวกับเทรนด์สุขภาพเติบโตอย่างมากหลังการระบาดของโควิด-19 และเชื่อว่าจะยังเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 13-17% ในปี 2565 มีมูลค่าราว 40,000 ล้านบาท เพราะคนไทยให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ประกอบกับประเทศไทยได้ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว ช่องว่างบริการสาธารณสุขไทยจึงเป็นโอกาสของธุรกิจ Health Tech ในประเทศไทย ประกอบกับระบบบริการสาธารณสุขของรัฐฯ ไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน ในขณะที่บริการสาธารณสุขของเอกชน คลินิก และโรงพยาบาลกระจุกตัวในเมืองหรือชุมชนขนาดใหญ่ และมาพร้อมค่าบริการที่สูง ร้านขายยาและเภสัชกรชุมชนคือประตูเปิดให้คนเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้ดีขึ้น และเมื่อเกิดการเชื่อมโยงระบบนิเวศเกี่ยวกับบริการสาธารณสุขบนแพลตฟอร์มก็จะช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงระบบสาธารณสุขด้วยเทคโนโลยีได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น
ด้าน นพ.กำพล พลัสสินทร์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ (CHG) กล่าวว่า ด้วยแนวคิดและทิศทางธุรกิจของอรินแคร์ที่สอดรับกับวิสัยทัศน์ของทาง CHG ทำให้เล็งเห็นถึงโอกาสของการต่อยอดธุรกิจ ที่มุ่งไปในทิศทางเดียวกัน ในการร่วมสนับสนุนธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพให้เข้าถึงในระดับชุมชน ต่อยอดการเติบโตระบบนิเวศของ Health Tech ยกระดับปรับโครงสร้างระบบสาธารณสุข ให้มีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางมากขึ้น
ขณะที่นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG) เปิดเผยว่า บริษัทได้เข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสูง โดยผ่าน MAX Ventures ผูกพันธมิตรทางธุรกิจ สร้างโอกาสเป็น New S-Curve รวมถึงการสร้างความแข็งแกร่งและต่อยอดธุรกิจในเครือข่ายของ PTG
โดยในช่วงแรกจะมีการร่วมกับ MaxCard ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกอยู่กว่า 19 ล้านราย และมีการเติบโตอยู่ที่เดือนละประมาณ 2 แสนราย คาดว่าภายในสิ้นปี 2566 นี้มีสมาชิกไม่น้อยกว่า 21 ล้านราย
และจากการที่พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่เน้นให้ความสำคัญด้านสุขภาพเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดเทรนด์ใหม่ในการมีสุขภาพดีที่ยั่งยืนในยุคดิจิทัล ทำให้ PTG มองเห็นโอกาสแตกไลน์ต่อยอดธุรกิจและบริการ เสริมศักยภาพให้สถานี PT ทั่วประเทศ ที่จากเดิมมุ่งมั่นเป็นมากกว่าสถานีให้บริการน้ำมัน แต่คาดหวังเป็นสถานีบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการรอบด้าน ทั้งร้านค้า และร้านขายยาโดย NEXX Pharma ที่บริการทั้งจำหน่ายยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์การแพทย์ โดยเภสัชกรผู้มีประสบการณ์ วางแผนให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตามการระดมทุนในรอบนี้กลุ่ม CHG ได้เข้ามาถือหุ้นราว 25% ขณะที่กลุ่ม PTG ถือหุ้นราว 10% และบริษัทมีนักลงทุนในการระดมทุนรอบก่อนหน้า ได้แก่ Nexter Ventures ซึ่งเป็น CVC ในเครือ SCG Cement Building Materials บริษัทระดับโลกอย่าง Mitsubishi Corporation รวมถึง True Incube