"ESG" และ "การพัฒนาที่ยั่งยืน" เป็นประเด็นสำคัญระดับโลก ซึ่งประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็ได้มีการส่งเสริมแนวคิด ESG อย่างจริงจังทั้งในภาคสังคมและธุรกิจ
โดยประเทศไทยได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปีติดต่อกันในรายงานการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติประจำปี 2566
ในทางกลับกัน ไต้หวันเองก็มีความก้าวหน้าอย่างน่าทึ่งในด้านพลังงานหมุนเวียน การจัดการทรัพยากรน้ำ และผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก โดยที่บริษัทต่างๆ ในไต้หวันกำลังลดการใช้พลังงานและพลาสติกเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนให้เหลือน้อยที่สุด ด้วยความพยายามร่วมกันระหว่างทั้งสองประเทศ จะผลักดันให้ไทยจะยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียนได้
ขณะที่ รัฐบาลไทยพุ่งเป้าไปที่การให้ความสำคัญกับนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 โดยมีความมุ่งหมายในการสร้างสมดุลทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ภายใต้กรอบแนวคิดของการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) นั้นสอดคล้องกับแผนพัฒนาอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยีพลังงานและเศรษฐกิจหมุนเวียนของไต้หวัน ภายใต้แผน “5+N Industrial Innovation Plan” ด้วยเช่นกัน
โดยแผนนี้เป็นการพัฒนาการส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียวในไต้หวันอันมีรากฐานแข็งแกร่ง ผ่านโซลูชันที่ทันสมัยและความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการใช้พลังงานที่มีเสถียรภาพและประสิทธิภาพจากภาคครัวเรือน พาณิชยกรรม และภาคอุตสาหกรรม เป็นผลให้ไต้หวันมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ระบบบริหารจัดการที่ดี มีความปลอดภัย มีการใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างคุ้มค่า ลดอัตราการสิ้นเปลืองไฟฟ้าและพลังงาน
ซึ่งที่ผ่านมาก็จะเห็นความร่วมมือระหว่างไทย-ไต้หวันในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย หนึ่งในนั้นคือ “Taiwan Excellence” ที่เป็นการร่วมกันระหว่างกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงเศรษฐกิจไต้หวัน (BOFT) และสภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน (TAITRA) เพื่อนำบริษัทไต้หวันขยายตลาดเข้าสู่ประเทศไทยและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรมแห่งอนาคตของไต้หวันและไทย
ไบรอัน ลี ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การตลาด สภาส่งเสริมการค้า และการส่งออกแห่งไต้หวัน (TAITRA) กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นแหล่งแห่งโอกาสและการลงทุน และถือเป็นดาวดวงใหม่ของอาเซียน ทำให้เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าบริษัทต่าง ๆ ในไต้หวันจะมาตั้งบริษัทที่ไทยมากขึ้น และผลิตสินค้ามากขึ้น
ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลที่ยังไม่แล้วเสร็จนั้นทางไต้หวันมองว่าไม่มีปัจจัยที่จะต้องกังวล เนื่องจากไทยและไต้หวันมีความสัมพันธ์ที่ดี และร่วมเป็นภาคีกันมาอย่างยาว รวมทั้งรัฐบาลไทยยังเปิดกว้างที่ให้ไต้หวันมาลงทุน และยังได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดี อาทิ BOI และไต้หวันก็ยังคงเปิดรับบริษัทและนักลงทุนจากไทยเช่นกัน อาทิ ในพื้นที่ EEC ที่จะเห็นได้เด่นชัดอย่างเช่น Delta, และบริษัททางด้าน EV ได้มีการปักหมุดลงทุนทางด้านอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์กันอย่างต่อเนื่อง จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันจะเริ่มเห็นแนวโน้มของนักลงทุนที่เบนเข็มมาลงทุนในไทยมากขึ้น และนี่เองนับเป็นช่วงเวลาทองของไทยเลยก็ว่าได้
จากข้อมูลอินไซต์ของสภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน (TAITRA) พบว่าในปี 2565 ไต้หวันเป็นคู่ค้าอันดับที่ 11 ของไทย คิดเป็น 2.8% ของมูลค่าการค้าโลกทั้งหมดของไทย ไต้หวันมีลงทุนในโครงการที่ผ่านการอนุมัติแล้วรวม 44 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวม 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของไทย สะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวในการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างไต้หวันและไทย
ทั้งนี้ “Taiwan Excellence “Empowering a Green Future” จัดขึ้นที่งานแสดงสินค้าไต้หวันในประเทศไทย Taiwan Expo 2023 โดยถือเป็นหนึ่งในหมุดหมายของรัฐบาลไต้หวัน ที่หวังจะเป็นสะพานเชื่อมในด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ซึ่งได้มีการจัดขึ้นในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 5
โดยจัดแสดงผลิตภัณฑ์ 64 รายการจากบริษัทที่ได้รับรางวัล Taiwan Excellence Awards จำนวน 28 บริษัท นิทรรศการครอบคลุมธีม หลัก 4 หัวข้อ ได้แก่ Smart Industry, Smart Living, Smart ICT และ ESG
ส่วนผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น ยกตัวอย่างเช่น เครื่องพิมพ์ซีเมนต์อัดขึ้นรูป 3 มิติของ Everplast, กล้องถ่ายภาพของ PaperShoot และ Step2Gold ไม้เท้าเก้าอี้ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต รองรับ ไลน์สไตล์คนรักนวัตกรรม ภายใต้ชื่อ Tada Chair ซึ่งเป็นไม้เท้าที่สามารถเปลี่ยนจากไม้เท้าเป็นเก้าอี้ในเสี้ยววินาที ใช้งานง่าย น้ำหนักเบา พกพาสะดวก ทั้งนี้ทั้ง 2 รุ่นได้รับการจดสิทธิบัตรเป็นนวัตกรรมที่มีการออกแบบที่เป็นเลิศที่ให้ความปลอดภัยสูงสุดเป็นที่เรียบร้อย
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า “ประเทศไทย” มีโอกาสจากการที่บริษัทข้ามชาติจะย้ายฐานการผลิตหรือหันมาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยี เพราะเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดขึ้นในยุคนี้ หากนักลงทุนเห็นว่าค่าแรงอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม แรงงานมีศักยภาพ รวมถึงตลาดมีความน่าสนใจ
จึงไม่แปลกที่เรามักจะเห็นบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนอยู่เนืองๆ ซึ่งไต้หวันก็เป็นหนึ่งในนั้น ทั้งนักลงทุนรายเดิมและรายใหม่ที่ต่างเริ่มทยอยเข้ามา เช่น ผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า(อีวี), ธุรกิจเครื่องมือแพทย์และสุขภาพ จากประเทศตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบีย อาหรับ ก็มีการเข้ามาลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ด้วยเช่นกัน จึงเอ่ยได้ว่า “ไทย” ยังคงเป็นโลเคชั่นชั้นดีในการเบนเข็มมาลงทุน