International Energy Agency (IEA) รายงานการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกปี 2565 ทำสถิติใหม่ โดยเพิ่มขึ้น 36.8 พันล้านเมตริกตัน หรือคิดเป็น 0.9% จากปีที่แล้ว สัดส่วนคาร์บอนหลักมาจากการเผาไหม้พลังงานจากเชื้อเพลิง และการผลิตพลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากการฟื้นตัวในภาคธุรกิจหลังการแพร่ระบาดโควิด โดยมีภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เป็นผู้นำปล่อยก๊าซอันดับหนึ่ง
การปล่อยคาร์บอนของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชีย เพิ่มขึ้น 4.2% โดยมีสัดส่วนจากการผลิตไฟฟ้าและความร้อนจากการเผาไหม้พลังงานถ่านหิน สะท้อนถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจและความต้องการพลังงาน โดยปี 2564 ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 17.74 พันล้านเมตริกตัน ซึ่งมากกว่าปริมาณการปล่อยก๊าซโดยรวมของภูมิภาคอื่นทั้งหมดในปีนั้น ซึ่งเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับระดับในปี 2563 โดย จีน เพียงแห่งเดียวคิดเป็น 60% ของทั้งภูมิภาค และ 31% ของทั้งโลก
รายงานระบุว่า การเพิ่มขึ้นของปริมาณการเดินทางทางอากาศ เพิ่มขึ้นจากระดับต่ำสุดก่อนช่วงการแพร่ระบาดโควิด ทำให้ระดับเผาไหม้จากน้ำมัน เพิ่มขึ้น 2.5% ตามด้วยมลพิษจากพลังงานถ่านหินที่เพิ่มขึ้น 1.6% ส่วนมลพิษจากกระบวนการทางอุตสาหกรรมปรับตัวลดลง เพราะการชะลอตัวของภาคการผลิต และมาตรการควบคุมการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในยุโรปและจีนที่ลดลงไป 2.5% และ 0.2% ตามลำดับ ขณะที่สหรัฐฯ มีอัตราที่เพิ่มขึ้น 0.8% เนื่องจากมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดของอาคารบ้านเรือน เพราะต้องต่อสู้กับคลื่นความร้อนที่พุ่งสูงขึ้น
นอกจากนี้ยังถือเป็นครั้งแรกของยุโรปที่สามารถผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและแสงอาทิตย์ ที่รวมกันมากกว่ากว่าการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซ หรือนิวเคลียร์ ในส่วนของ จีน ที่ต้องเผชิญมาตรการควบคุมโควิดที่เข้มงวดและการชะลอตัวของภาคอุตสาหกรรม ทำให้มลพิษต่อปีลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การปฏิรูปโครงสร้างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2558 แถมส่งผลให้การปล่อยมลพิษในอุตสาหกรรมทั่วโลกลดลงไปด้วย
ทั้งนี้ อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปีนี้ถือว่าต่ำกว่าคาดการณ์ โดยมีปัจจัยหลัก จากการเติบโตของ 'พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน' โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์และลม ที่สามารถตอบสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกได้ถึง 90% ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปได้กว่า 550 ล้านตัน ไม่เช่นนั้นอัตราการปล่อยคาร์บอนจะเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าเมื่อเทียบปีต่อปี
มากไปกว่านั้น อุปทานด้านพลังงานที่ตึงตัวจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยังเร่งให้หลายประเทศเพิ่มการนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้ เพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันจากรัสเซียอีกด้วย
อย่างไรก็ตามรายงาน IEA ระบุชัดเจนว่า ปีที่ผ่านมาบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลระดับโลกสร้างรายได้สูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่เป้าหมายด้านสภาพอากาศของโลกไม่ได้ถูกขับเคลื่อนเท่าใด ดังนั้นบริษัทดังกล่าวต้องทบทวนกลยุทธ์และจำเป็นต้องรับผิดชอบร่วมกันเพื่อให้มาตรการด้านสภาพแวดล้อมดำเนินการไปอย่างมีความหมายต่อไป.
อ้างอิง : IEA