SCB CIO แนะ 5 กลยุทธ์จัดพอร์ตเอาชนะเงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยขาขึ้น

Personal Finance

Wealth Management

กองบรรณาธิการ

Author

กองบรรณาธิการ

Tag

SCB CIO แนะ 5 กลยุทธ์จัดพอร์ตเอาชนะเงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยขาขึ้น

Date Time: 22 มิ.ย. 2565 14:05 น.

Video

ทางรอดเศรษฐกิจไทยในยุค AI ครองโลก | 1st Anniversary Thairath Money

Summary

  • SCB CIO แนะ 5 กลยุทธ์จัดพอร์ตชนะเงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยขาขึ้น ทยอยสะสมตราสารหนี้คุณภาพดี กระจายความเสี่ยงสู่สินทรัพย์ Private asset, Structure note และหุ้นกลุ่ม ESG

Latest


SCB CIO แนะ 5 กลยุทธ์จัดพอร์ตชนะเงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยขาขึ้น ทยอยสะสมตราสารหนี้คุณภาพดี กระจายความเสี่ยงสู่สินทรัพย์ Private asset, Structure note และหุ้นกลุ่ม ESG

เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 65 นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment office and product และผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารฝ่าย CIO Office ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญปัญหาอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวในระดับสูงและมีความเสี่ยงชะลอตัว ซึ่งอาจทำให้หลายประเทศมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2566-2567 โดยมี 3 ปัจจัยหลัก ที่ส่งผลกระทบกับภาวะเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก ดังนี้

1. ผลกระทบด้านห่วงโซ่อุปทาน ภายหลังจากหลายประเทศที่เป็นฐานของเศรษฐกิจหลักของโลกกำลังกลับเข้าสู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบปกติก่อนเกิดสถานการณ์โควิด แต่กลับมีการถูกกระทบของห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain disruption) ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่อุปทานด้านแรงงานก็ยังประสบภาวะขาดแคลนทำให้ค่าแรงมีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องและส่งผลต่อการฟื้นตัวของภาคการผลิตและภาคบริการ

2. ความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical conflicts) มีแนวโน้มยืดเยื้อ ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่าง รัสเซีย-ยูเครน ความตึงเครียดระหว่างโลกประชาธิปไตยตะวันตกกับโลกสังคมนิยม ทำให้เกิดการกีดกันในรูปแบบต่างๆ ทั้งทางการเมือง นโยบาย และ มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการเงิน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้ ราคาพลังงานและ อาหารปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจนกลายเป็นภาวะเงินเฟ้อด้านต้นทุน (cost push inflation) ที่มีแนวโน้มยืดเยื้อตามไปด้วย

3. การปรับเปลี่ยนของนโยบายการเงินแบบฉับพลันหลังเงินเฟ้อสูงมีแนวโน้มยืดเยื้อ โดยเฉพาะนโยบายการเงินที่เคยมีลักษณะผ่อนคลายทั่วโลก มีการใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำและอัดฉีดสภาพคล่องจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างยาวนาน และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ราคาของสินทรัพย์ทั่วโลกปรับตัวขึ้นอย่างมาก แต่เมื่อเงินเฟ้อเริ่มเร่งตัวสูงและมีแนวโน้มยืดเยื้อทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องเร่งปรับทิศทางนโยบายการเงินให้ตึงตัวมากขึ้นอย่างมาก โดยการเร่งขึ้นดอกเบี้ยและดึงสภาพคล่องออกจากระบบ

สำหรับนัยต่อภาพการลงทุน ภาวะเงินเฟ้อสูงที่มีแนวโน้มยืดเยื้อ จะส่งผลให้วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นในรอบนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงปี 2565-2566 และส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดการเงินโลก ผ่านการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร การลดลงของผลตอบแทนจากตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเน้นการเติบโตของรายได้สูงแต่ยังไม่มีกระแสเงินสดรองรับในระยะสั้น (long duration equities) นอกจากนั้นความไม่แน่นอนด้านความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และความไม่แน่นอนด้านนโยบาย ยังจะทำให้ความผันผวนในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงมีสูงขึ้นอีกด้วย

กลยุทธ์การจัดพอร์ตเพื่อชนะเงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยขาขึ้นแบบเร็วและแรง รวมถึงตลาดการเงินโลกที่ยังผันผวน โดยแนะนำ 5 กลยุทธ์ ดังนี้

1. สร้างกระแสเงินด้วยการทยอยสะสมตราสารหนี้คุณภาพสูง (Build income streams) ผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อต่อราคาพลังงานและอาหาร จะยังทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อการขยับขึ้นของเงินเฟ้อเริ่มชะลอลง การทยอยสะสมพันธบัตรคุณภาพสูง (Investment Grade) จะเป็นการสร้างกระแสรายได้ให้กับพอร์ตโฟลิโอได้

2. กระจายความเสี่ยงสู่ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องจับจังหวะการลงทุนก็กำไรได้ (Non-directional products) การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีการเคลื่อนไหวตามตลาด ในช่วงที่มีความไม่แน่นอนจากสงครามและความเร็วในการขึ้นดอกเบี้ย

ด้วยการใช้ Market timing อาจเกิดภาวะแรงฉุดจากความผันผวน (Volatility drag) ในพอร์ตโฟลิโอได้ เพื่อจัดการความเสี่ยงด้านนี้ การลงทุนในสินทรัพย์ประเภท Private assets จะช่วยให้ได้รับผลตอบแทนสม่ำเสมอและลดความผันผวนของพอร์ตได้ โดยนักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงด้วยการเลือกลงทุนใน Private equity, Private credit, และ Private real estate เป็นต้น

3. ป้องกันความเสี่ยงด้านต่ำ (Limit downside risk) ด้วยหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง (Structure notes) สำหรับนักลงทุนที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงด้านต่ำในการลงทุน การลงทุนในหุ้นกู้อนุพันธ์แฝงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยตอบโจทย์ได้ในประเด็นนี้ โดยทาง SCB CIO มีทางเลือกหลากหลายในด้านผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็น KIKO และ Equity-Linked Note

4. มองข้ามความผันผวนระยะสั้นด้วยการลงทุนแบบ Thematic แม้เศรษฐกิจโลกในภาพรวมมีแนวโน้มชะลอตัว ตามวัฏจักรเศรษฐกิจ แต่ในระยะปานกลางและระยะยาว ยังมีหลายภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจที่สามารถสร้างการเติบโตของรายได้และกำไรอย่างยั่งยืนได้ ตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมในกลุ่ม ESG (Environmental, Social, and Governance) โดยเฉพาะธีม Renewable Energy & Decarbonization

ทั้งนี้ ในส่วนของกลยุทธ์การลงทุนรายสินทรัพย์ในช่วงไตรมาสที่ 3 SCB CIO มีมุมมอง Neutral สำหรับการลงทุนในหุ้น ทั้งกลุ่มตลาดหุ้น Develop markets มีมุมมอง Neutral ต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผลประกอบการยังฟื้นตัวต่อเนื่อง

แต่ได้รับผลกระทบหลักจากเรื่องของเงินเฟ้อและการเร่งตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร คงมุมมองหุ้นยูโรปเป็น Slightly negative จากผลกระทบยืดเยื้อของสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป

สำหรับกลุ่ม Emerging markets คงมุมมอง Slightly positive ต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีนหลังมีการทยอยเปิดเมืองและออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีความเสี่ยงในด้านเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยต่ำกว่ากลุ่มประเทศอื่นๆ

ส่วน หุ้นไทย และ เวียดนาม เรามีมุมมอง Slightly positive เนื่องจากแม้จะได้อานิสงส์จากการเปิดเมืองเปิดประเทศ แต่ในช่วงครึ่งหลังของปี ผลกระทบของการขึ้นดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นในไทยและเวียดนาม รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น และปรับ Asian REITs เป็น Neutral เนื่องจากผลกระทบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น

นอกจากนี้ การจัดการด้านความเสี่ยงของเงินเฟ้อ เราปรับสินค้าโภคภัณฑ์เป็น Positive โดยเฉพาะในกลุ่มอาหาร ซึ่งอุปทานมีแนวโน้มตึงตัวต่อเนื่องจากผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการห้ามส่งออกอาหารในหลายประเทศ ในขณะที่ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูงแต่การปรับตัวขึ้นต่อน่าจะถูกกระทบจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย

5. การนำสินทรัพย์ที่มีอยู่มาสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Enhancing return) เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์การลงทุนที่ SCB CIO พร้อมนำเสนอเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน โดยการนำสินทรัพย์การลงทุนไม่ว่าจะเป็นหลักทรัพย์หรือหน่วยลงทุนที่มีอยู่แล้วมาเป็นหลักประกันในการทำ Lombard loan เพื่อนำไปลงทุนต่อยอดเสริมผลตอบแทนในระยะข้างหน้า


SCB WEALTH ยกทัพ ADVISORY TEAM

ด้านดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในภาวะที่ตลาดผันผวน SCB ให้ความสำคัญในการดูแลลูกค้าและให้คำปรึกษาแบบครบวงจร โดยเน้นในเรื่องการสรรหาผลิตภัณฑ์และการจัดพอร์ต Asset Allocation ที่ตอบโจทย์ทุกช่วงภาวะของการลงทุน

โดยจุดมุ่งหมายที่สำคัญจะเป็นการสร้างแบรนด์ที่เน้นเรื่องการให้คำปรึกษาด้านการทำ Wealth planning เพื่อเพิ่มความมั่งคั่งของลูกค้า และมีการพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถของ Wealth RM และ Investment advisor รวมถึง Product capability ที่ครอบคลุมทุกเป้าหมายการลงทุน เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า

นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือที่ดีจากบริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือ SCBS ในการวิเคราะห์ข้อมูลเจาะลึกบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งคุณภาพของข้อมูลนับเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้การทำธุรกรรมด้านการเงินและการลงทุนประสบความสำเร็จ

รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ เช่น structured products และ private assets ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกช่วงเวลา จึงนับเป็นกำลังที่สำคัญในการเสริมศักยภาพของ SCB WEALTH ให้มีความเข็งแกร่ง สามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับลูกค้าได้อย่างยั่งยืน.


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการไทยรัฐออนไลน์