ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยถึงภาพรวมผลประกอบการธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 2566 ว่า จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ส่งผลให้ในปีนี้ธุรกิจประกันวินาศภัยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ โดยตั้งแต่เดือนมกราคม-เดือนกันยายน 2566 รวม 9 เดือนที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตรวม 5.2% มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 210,141 ล้านบาท โดยการประกันภัยแต่ละประเภทยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี
สำหรับแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัยปี 2566 ทั้งปีนั้น สำนักงานอัตราเบี้ยประกันวินาศภัย (IPRB) สมาคมประกันวินาศภัยไทย คาดการณ์ว่าจะเติบโตราว 4-5% มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 285,080-287,800 ล้านบาท โดยการประกันภัยแทบทุกประเภทมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศ และระหว่างประเทศที่กลับมาคึกคัก ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลดีต่อการประกันภัย
ขณะที่ผลประกอบการธุรกิจประกันวินาศภัยประเภทต่างๆ ณ 3 ไตรมาส (มกราคม-กันยายน) ของปี 2566 ในส่วนของเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงของการประกันภัยรถยนต์จำนวน 118,419 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 6%) โดยเพิ่มขึ้นจากยอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้จำนวนกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์มีแนวโน้มสูงขึ้น รวมถึงผลกระทบจากเบี้ยประกันภัยเฉลี่ยต่อกรมธรรม์ของการประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจที่มีแนวโน้มสูงขึ้น
ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลให้เบี้ยประกันภัยรับโดยตรงของการประกันภัยรถยนต์ทั้งปี 2566 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย ในขณะที่เบี้ยประกันภัยรับโดยตรงของ การประกันอัคคีภัยมีจำนวน 7,762 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 2.19%) โดยเพิ่มขึ้นตามมูลค่าการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นในครึ่งปีแรก
ส่วนเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงของการประกันภัยทางทะเลและขนส่งมีจำนวน 5,330 ล้านบาท (ลดลง 0.6%) โดยมูลค่าการส่งออกเติบโตเพียงเล็กน้อยแต่มูลค่าการนำเข้าติดลบ และเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงของการประกันภัยเบ็ดเตล็ดมีจำนวน 78,630 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.6%) โดยเพิ่มขึ้นจากการประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน ที่มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงเพิ่มสูงขึ้นมากเป็น 25,884 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 16.1%) เนื่องจากเบี้ยประกันภัยต่อปรับตัวสูงขึ้นจากภาวะตลาดแข็งตัว ซึ่งเป็นผลจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และอาจยังมีผลกับการต่อสัญญาประกันภัยต่อในปีถัดไปบางส่วน
ส่วนอัตราความเสียหายของการประกันวินาศภัยประเภทต่างๆ ณ 3 ไตรมาส ของปี 2566 นั้นพบว่าอัตราความเสียหายโดยรวมของการประกันภัยทุกประเภทนั้นเท่ากับ 54.5% โดยอัตราความเสียหายของการ
ประกันภัยรถยนต์เท่ากับ 59.4% อัตราความเสียหายของการประกันอัคคีภัยเท่ากับ 23.6% อัตราความเสียหายของการประกันภัยทางทะเลเท่ากับ 32.9% และอัตราความเสียหายของการประกันภัยเบ็ดเตล็ดเท่ากับ 47.1% ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วพบว่า อัตราความเสียหายของการประกันภัยเบ็ดเตล็ตลดลงเป็นอย่างมาก เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ในปัจจุบันได้คลี่คลายลง
ทั้งนี้ โครงการประกันภัยพืชผล ปีการผลิต 2566 เนื่องจากการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล คณะรัฐมนตรี จึงไม่สามารถอนุมัติให้ดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปีได้ทันช่วงระยะเวลาเริ่มเพาะปลูกข้าว ส่งผลให้ไม่เกิดการทำประกันภัย โดยมูลค่าเบี้ยประกันภัยที่หายไปจากธุรกิจประกันภัยมีมูลค่าประมาณ 2 พันล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามโครงการประกันภัยพืชผลปีการผลิต 2567 มีแนวโน้มที่จะได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี โดยเพิ่มการประกันภัยมันสำปะหลังเข้ามาในโครงการเป็นปีแรกด้วย ซึ่งคาดว่าเบี้ยประกันภัยรวมทั้งโครงการประกันภัยพืชผลจะมีมูลค่าประมาณ 2.2 พันล้านบาท
สำหรับแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัย ปี 2567 คาดการณ์ว่าจะมีอัตราการเติบโตราว 5-6% เบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 301,050-303,900 ล้านบาท จากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยแรง สนับสนุนของภาครัฐ อาจทำให้ยอดขายทะลุ 100,000 คัน บวกกับประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการทำประกันภัยสุขภาพ เนื่องมาจากแนวโน้มค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงขึ้นและจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นถึง 2 เท่า ส่งผลให้ในปีหน้ามีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง.