ผู้ว่าฯ ธปท.ชี้นโยบายการเงินสอดรับกับเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวชัดเจน

Personal Finance

Banking & Bond

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ผู้ว่าฯ ธปท.ชี้นโยบายการเงินสอดรับกับเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวชัดเจน

Date Time: 25 ส.ค. 2565 08:30 น.

Video

ทางรอดเศรษฐกิจไทยในยุค AI ครองโลก | 1st Anniversary Thairath Money

Summary

  • ผู้ว่าฯ ธปท. ชี้การดำเนินนโยบายการเงินจะทยอยปรับเข้าสู่ภาวะปกติ สอดรับกับเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจน จากการใช้จ่ายในประเทศ และภาคท่องเที่ยวเป็นหลัก

Latest


ผู้ว่าฯ ธปท. ชี้การดำเนินนโยบายการเงินจะทยอยปรับเข้าสู่ภาวะปกติ สอดรับกับเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจน จากการใช้จ่ายในประเทศ และภาคท่องเที่ยวเป็นหลัก

เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 65 นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET กล่าวถึงการจัดงาน Thailand Focus 2022 : THE NEW HOPE ว่า ถือเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ สื่อสารความน่าสนใจของประเทศไทย และเชื่อมโยงโอกาสการลงทุนให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันทั่วโลก

โดยงานปีนี้จัดงานในรูปแบบ Hybrid โดยมีผู้ลงทุนสถาบันที่เดินทางมาร่วมงานในประเทศไทยและที่รับฟังข้อมูลผ่าน virtual conference เพื่อเปิดโอกาสให้เข้าถึงผู้ลงทุนทั่วโลกสามารถเข้าถึงข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนได้ในรูปแบบที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่

ขณะเดียวกันยังตอบสนองความต้องการพบปะแบบส่วนตัวได้ โดยมีผู้ลงทุนจากกลุ่มประเทศหลัก ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา สวีเดน โดยผู้ลงทุนสถาบันให้ความสนใจในอุตสาหกรรมและธุรกิจใหม่ๆ ที่จะเป็นหัวหอกขับเคลื่อนการเติบโตในอนาคต รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจของภาครัฐทั้งระยะสั้นและระยะยาวอีกด้วย

ด้านดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. กล่าวว่า แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงต่อไปจะทยอยปรับกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หรือ Policy normalization เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจการเงินและสมดุลความเสี่ยงใหม่ที่ให้น้ำหนักกับเงินเฟ้อมากขึ้น

โดยเน้นให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง ไม่สะดุด หรือ Smooth takeoff ซึ่งการดำเนินนโยบายการเงินของแต่ละประเทศขึ้นกับวัฏจักรเศรษฐกิจ ซึ่งมีความแตกต่างกัน กุญแจสำคัญของการดำเนินนโยบายของไทย คือ การควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ และไม่ผันผวน (เสถียรภาพด้านราคา) และระบบการเงินทำหน้าที่ได้อย่างปกติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างราบรื่น

สำหรับการดำเนินนโยบายการเงินการคลังที่ผ่อนปรนมากในช่วงสถานการณ์โควิด-19 มีความจำเป็นลดลง แต่มาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางอย่างธุรกิจ SMEs หรือกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ ยังมีความจำเป็น เพราะการฟื้นตัวแต่ละกลุ่มยังไม่เท่าเทียมกัน เช่น มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ยังดำเนินต่อจนถึงสิ้นปี 66 เป็นอย่างน้อย โดย ธปท. พร้อมปรับเปลี่ยนมาตรการให้ยืดหยุ่น ตามสถานการณ์และบริบทของลูกหนี้

ส่วนการปรับทิศทางนโยบายการเงินจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เหมาะสมกับบริบทเศรษฐกิจไทย (gradual and measured) ซึ่งล่าสุด การประชุมวันที่ 10 ส.ค. 65 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% จาก 0.50% เป็น 0.75% ต่อปี โดยเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนขึ้น และคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ประมาณ 3% และปีหน้าประมาณ 4% จากอุปสงค์ในประเทศที่แข็งแกร่งขึ้นชัดเจน

โดยในไตรมาสที่ 1 และ 2 ปี 65 ขยายตัว 3.5% และ 7% ตามลำดับ ซึ่งมาจากรายได้ของแรงงานทั้งในและนอกภาคเกษตรที่ดีขึ้น รวมทั้งจากภาคท่องเที่ยวที่มีสัดส่วน 12% ของจีดีพี และ 20% ของการจ้างงานรวม โดยเบื้องต้นคาดว่า ปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย 8 ล้านคน เพิ่มจาก 400,000 คนในช่วงที่โควิด-19 แพร่ระบาด แต่ยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 40 ล้านคนต่อปี

สำหรับสถานการณ์เงินเฟ้อ แม้จะมีแรงกดดันสูงขึ้นแต่ยังมาจากปัจจัยด้านอุปทาน (supply side) เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าจับตา คือ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่เพิ่มขึ้นติดต่อกันหลายเดือน ขณะที่ระบบการเงินโดยรวมยังมีเสถียรภาพ เงินกองทุนและสภาพคล่องยังสูง

ด้านปัจจัยความเสี่ยง ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวว่า การขึ้นดอกเบี้ยของไทยไม่ได้ช้าไป โดยแต่ละประเทศจะมีวัฏจักรเศรษฐกิจแตกต่างกัน ซึ่งเห็นว่าหลายประเทศได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกหลังจากที่เศรษฐกิจฟื้นกลับสู่ระดับก่อนโควิด-19 แล้ว ขณะที่ประเทศไทยได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ได้ฟื้นตัวกลับไปเท่ากับระดับก่อนโควิด-19 (คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวกลับเข้าสู่ระดับก่อนโควิดภายในสิ้นปีนี้)

นอกจากนี้ ภาวะเงินเฟ้อมาจากปัจจัยอุปทาน (supply side) เป็นหลัก และความเสี่ยงของการปรับขึ้นค่าจ้างต่อเงินเฟ้อเป็นวัฏจักรต่อเนื่อง (Wage-price spiral) ในไทยค่อนข้างต่ำ ซึ่งต่างจากหลายประเทศที่ต้องขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง

ดร. เศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ข้อกังวลความเสี่ยงเรื่องส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไทยกับต่างประเทศ ที่จะส่งผลต่อเงินทุนไหลออกและเงินบาทอ่อนค่า ไม่ได้ให้น้ำหนักเป็นความเสี่ยงมากที่สุด เนื่องจากเงินบาทอ่อนค่าเพราะเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเป็นหลัก สอดคล้องกับเงินสกุลอื่นในภูมิภาค

โดยตั้งแต่ต้นปีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า 13% ส่วนเงินบาทอ่อนค่า 8% อ่อนค่ากว่าค่าเงินริงกิตมาเลเซีย แต่ดีกว่าค่าเงินเปโซฟิลิปปินส์ ขณะที่ตั้งแต่ต้นปี ยังมีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าไทยสุทธิ 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

ส่วนความเสี่ยงบอนด์ยีลด์พุ่งสูงไม่น่ากังวล เพราะระบบเศรษฐกิจไทยทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือนพึ่งพาเงินทุนจากระบบธนาคารเป็นหลัก นอกจากนี้ ความกังวลว่าเศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ขณะที่เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น (Stagflation) มีความเป็นไปได้น้อย แม้สถานการณ์เงินเฟ้อไทยยังสูง แต่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่องจากภาคท่องเที่ยวเป็นสำคัญ ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยอาจได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกบ้าง แต่ไม่ถึงกับจะทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัว

"ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยยังให้น้ำหนักกับการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวมากที่สุด และความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์โลก เพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยขึ้นอยู่กับภาคการท่องเที่ยว"


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ