KTC เผยกำไรสุทธิปี 63 แตะ 5,332 ล้านบาท โชว์สินเชื่อรวมขยายตัวเพิ่มขึ้นแม้มีโควิด เดินเกมปี 64 ตรึงฐานสมาชิกให้เหนียวแน่น
นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC กล่าวว่า สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 ได้ส่งผลกระทบรุนแรงกับระบบเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด ต่อเมื่อเศรษฐกิจไทยเริ่มมีการฟื้นตัวต่อเนื่องจากแรงกระตุ้นการใช้จ่ายของภาครัฐตั้งแต่ปลายไตรมาสที่ 2 เป็นต้นมา ทำให้ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเคทีซีเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้น รวมทั้งพอร์ตลูกหนี้ของเคทีซีสามารถขยายตัวได้เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภายใต้เกณฑ์ใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ประกาศปรับลดเพดานการคิดอัตราดอกเบี้ยในธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล ได้ส่งผลกระทบกับรายได้ของบริษัทในไตรมาสสุดท้ายของปี บริษัทจึงปรับกลยุทธ์โดยให้ความสำคัญกับการคัดกรองลูกค้ามากขึ้น เพื่อให้สามารถดูแลคุณภาพของสินทรัพย์ได้ดี รวมทั้งสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ที่สอดรับกับพฤติกรรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
นอกจากนี้ KTC ยังได้ปรับกระบวนการทำงานในองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และบริหารต้นทุนทางการเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมถึงใช้มาตรการบริหารจัดการความเสี่ยงของลูกหนี้ให้เหมาะสม และการตัดหนี้สูญเพื่อให้พอร์ตลูกหนี้สะท้อนภาพความเป็นจริง โดยมีรายได้หนี้สูญได้รับคืนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
สำหรับแผนในปี 2564 บริษัทได้ปรับแผนธุรกิจเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในพอร์ตลูกหนี้คุณภาพทั้ง 3 ธุรกิจหลัก โดยมุ่งรักษาพอร์ตลูกหนี้ให้มีคุณภาพดีและผูกพันกับเคทีซี ผ่านกิจกรรมส่งเสริมการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้งแบ่งเบาภาระเคียงข้างสมาชิกทุกกลุ่ม ดังนี้
- ธุรกิจบัตรเครดิต จะร่วมมือกับพันธมิตรคู่ค้าอย่างใกล้ชิด เน้นส่งเสริมการตลาดที่เป็นออนไลน์มากขึ้นในทุกหมวดการใช้จ่ายซึ่งเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อตอบรับกับความจำเป็นทุกความต้องการของสมาชิก
- ธุรกิจสินเชื่อบุคคล จะให้ความสำคัญกับการตอกย้ำทุกฟังก์ชันการใช้งานของบัตรกดเงินสด เคทีซี พราว ที่เพิ่มความสะดวกให้กับสมาชิกผู้ถือบัตรทั้งรูด โอน กด ผ่อนในบัตรเดียว
- ธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ เคทีซี พี่เบิ้ม KTC จะะมุ่งขยายตลาดในปีนี้เป็นหลัก โดยตั้งเป้าหมายเติบโตที่ 1,000 ล้านบาท เป็นฐานสนับสนุนการเติบโตในระยะต่อไป
- แผนโครงการที่เกี่ยวข้องกับระบบการชำระเงิน Payment System อยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูล และวิธีการดำเนินการ ซึ่งบริษัทเชื่อว่าจะเป็นธุรกิจใหม่ที่มาเสริมธุรกิจหลัก และสร้างโอกาสให้บริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคงในระยะยาว
สำหรับผลประกอบการของ KTC ณ วันที่ 31 ธ.ค. 63 ภายใต้มาตรฐาน TFRS9 เปรียบเทียบกับปี 2 มีดังนี้
- ธุรกิจบัตรเครดิต 2,575,684 บัตร เพิ่มขึ้น 2.6%
- ธุรกิจสินเชื่อบุคคล รวมสินเชื่อธนวัฏและสินเชื่อเจ้าของกิจการ
สำหรับปี 2563 KTC มีรายได้รวม 22,056 ล้านบาท ลดลง -2.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ดอกเบี้ยลูกหนี้บัตรเครดิตและลูกหนี้สินเชื่อบุคคลที่เพิ่ม 5.7% และ 2.8% ตามลำดับ เป็นอัตราเพิ่มที่ชะลอตัวลง เพราะผลกระทบจากสถานการณ์ Covid-19 และการลดเพดานอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย
ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียม (ไม่รวมค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน) มีอัตราที่ -11.0% จากรายได้ค่าธรรมเนียม Interchange Fee รายได้ค่าธรรมเนียมเบิกถอนเงินสด และรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจร้านค้า (Acquiring Business) ที่ลดลง
ส่วนค่าใช้จ่ายรวมเท่ากับ 15,400 ล้านบาท แบ่งเป็น ค่าใช้จ่ายการบริหารงาน 7,260 ล้านบาท ลดลง -6.0% จากรายการทางการค้าและกิจกรรมการตลาดที่ลดลง ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 6,605 ล้านบาท (หนี้สูญ 4,920 ล้านบาท และหนี้สงสัยจะสูญ 1,685 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 2.7% และต้นทุนทางการเงิน 1,534 ล้านบาทตามลำดับ
โดยมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้สุทธิ (Operating Cost to Income Ratio) เท่ากับ 25.4% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 25.3% ในขณะที่สัดส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวม (Cost to Income Ratio) เท่ากับ 32.9% ลดลงจาก 34.1% เนื่องจากลดกิจกรรมการตลาดด้านการจัดหาสมาชิกบัตรใหม่ และหันไปเน้นส่งเสริมการตลาดใช้จ่ายผ่านบัตรออนไลน์มากขึ้น
ช่วยลูกหนี้สู้โควิด
นายระเฑียร กล่าวอีกว่า KTC ได้ร่วมสนับสนุนมาตรการของกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างเต็มที่ ในการช่วยเหลือด้านสินเชื่อสำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งการปรับลดเพดานดอกเบี้ย และเพิ่มวงเงินให้กับลูกหนี้บัตรเครดิตและลูกหนี้สินเชื่อบุคคล การเปลี่ยนสินเชื่อเป็นระยะยาว เลื่อนการชำระค่างวดหรือเงินต้น การลดค่างวด เป็นต้น
โดยข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 63 มีกลุ่มลูกหนี้สมัครเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างกับเคทีซีมียอดหนี้คงเหลือ 813 ล้านบาท หรือ 10,812 บัญชี ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ประกาศขยายระยะเวลามาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยออกไปจนถึงวันที่ 30 มิ.ย. 64 ซึ่งเคทีซีจะได้ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวต่อไป