คนอายุ 45 ปี เมินกองทุนเอสเอสเอฟ เหตุไม่จูงใจต้องรอ 10 ปี ถึงถอนได้

“ไทยพาณิชย์” ย้ำกองทุนรวมเพื่อการออม SSF ที่กำหนดให้ถือครองยาวถึง 10 ปี แบบวันชนวัน อาจไม่น่าสนใจไม่ดึงดูดใจให้คนอายุ 45 ปีขึ้นไปลงทุน จับตาแรงขาย LTF ที่ทยอยครบกำหนด ทิสโก้เผยสิ้นปีนี้เม็ดเงิน LTF และ RMF อาจเข้าซื้อหุ้นไทยน้อยกว่าคาดการณ์ไว้ หลังสารพัดปัจจัยลบรุมเร้า เปิดสถิติเดือน ม.ค.–เม.ย. ของทุกปี หุ้นปันผลให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด 4%

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยถึงกลยุทธ์การลงทุนช่วงเปลี่ยนผ่านจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) เป็นกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ที่ได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีว่ากองทุน SSF ที่กำหนดว่าต้องถือครองระยะยาว 10 ปีลักษณะวันชนวัน อาจทำให้ความน่าสนใจการเลือกซื้อของประชาชนที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป ลดน้อยลง เนื่องจากเวลาที่ถือครองนานเกินไป อาจเป็นอุปสรรค เพราะสามารถไถ่ถอนได้เมื่ออายุ 55 ปี ต่างจากกองทุน LTF ที่กำหนดเวลาถือครองเป็นปีปฏิทิน 7 ปีเท่านั้น รวมทั้งกองทุนใหม่ที่ไม่กำหนดรูปแบบการลงทุน และไม่เน้นลงทุนในตลาดหุ้น ทำให้เกิดประโยชน์ต่อตลาดทุนไม่มากนัก

“ภาพรวมการลงทุนปัจจุบัน สิ้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา มูลค่ากองทุน LTF อยู่ที่ 387,000 ล้านบาท ส่วนกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) อยู่ที่ 288,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีวงเงินทยอยขายออกมา เมื่อครบกำหนด หากซื้อกองทุน LTF ก่อนปี 2559 มีเวลาถือครอง 5 ปี สามารถทยอยขายตั้งแต่ในปีนี้ วงเงิน 277,000 ล้านบาท แต่หากซื้อหลังจากปี 25 59-2562 มีเวลาถือครอง 7 ปี เริ่มทยอยขายได้ตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งต้องติดตามแรงขายของนักลงทุนว่าจะเริ่มขายกองทุน LTF ออกมาในช่วงใด”

นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัดกล่าวว่า แต่ละปีมีแรงซื้อกองทุน LTF ปีละ 40,000 ล้านบาท หากพิจารณาตัวเลข 10 ปีส่งผลให้จะมีวงเงินคงค้างในระบบ 400,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมีแรงซื้อกองทุน SSF เพียงครึ่งหนึ่งจากนี้เท่านั้น เนื่องจาก SSF ไม่ได้กำหนดให้ลงทุนในตลาดหุ้นโดยตรง แต่ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยถือว่า อยู่ในจังหวะที่ราคาถูกแล้ว ต้องติดตามว่าจะมีบริษัทหลักทรัพย์ จัดการกองทุนรวม (บลจ.) รายใดชิงออกกองทุนใหม่ที่เน้นลงทุนในตลาดหุ้นหรือไม่ เพราะตลาดทุนไทย และผลประกอบการจดทะเบียน (บจ.) บางอุตสาหกรรมยังเติบโตได้อีก

“หากผู้ลงทุน จะเข้าลงทุนกองทุนต่างๆ คงต้องพิจารณานโยบายการลงทุน ที่กองทุนเลือกเข้าไปลงทุนว่าน่าสนใจหรือไม่ ยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ต่อเนื่องหรือไม่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตอยู่ตามทิศทางของเศรษฐกิจโลก เพราะปีหน้ายังถือว่าตลาดหุ้นไทยยังเป็นตลาดที่น่าลงทุน”

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัดกล่าวว่า เดือน ธ.ค.นี้ ประเมินว่าเม็ดเงินจาก LTF และ RMF จะไหลเข้าซื้อหุ้นไทยน้อยกว่าที่คาด มีสาเหตุจากภาวะเศรษฐกิจ ยังส่งสัญญาณอ่อนแอต่อเนื่อง ส่งผลให้นักลงทุนระมัดระวังการใช้จ่าย รวมถึงระมัดระวังเรื่องการลงทุนมากขึ้น ประกอบกับรูปแบบการออกกองทุนรวมใหม่ที่จะมาทดแทน LTF มีความล่าช้า อาจส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินไหลเข้าในปีนี้ และจากปัจจัยดังกล่าวคาดว่าจะมีเงิน LTF เข้าซื้อหุ้นไทย 20,000 ล้านบาท ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะมีเงินเข้าซื้อที่ 25,000 ล้านบาท ขณะที่ RMF คาดว่ามีเงินไหลเข้าเพียง 10,000 ล้านบาท จากเดิมคาดว่ามีเงินไหลเข้า 15,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน แม้บรรยากาศการลงทุนโดยรวม ยังคงย่ำแย่อยู่ แต่ทิสโก้มองว่าในช่วงที่หุ้นไทยย่อตัวนี้ เป็นจังหวะที่ดีในการทยอยเข้าซื้อหุ้นปันผล เพราะจากการศึกษาความเคลื่อนไหวหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง โดยใช้ดัชนี SETHD TRI (SET High Dividend Total Return Index) เพราะเป็นตัวแทนหุ้นพื้นฐานดี ที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง 30 ตัวแรกของตลาดหุ้น ที่รวมผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นและเงินปันผลแล้ว เปรียบเทียบกับความเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวม (SET) พบว่าเดือน ม.ค.-เม.ย.ของทุกๆ ปี หุ้นปันผล ให้ผลตอบแทนรวมดีกว่าตลาด 4%

“ผลตอบแทนจากเงินปันผลถือว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของตลาดหุ้นไทย หลายปีที่ผ่านมา ผลตอบแทน จากเงินปันผลของตลาดหุ้นไทย นอกจากชนะเงินเฟ้อแล้ว ยังให้ผลตอบแทนดีกว่าอัตราดอกเบี้ย”.