ท่ามกลางความผันผวนของตลาดหุ้นไทยต้นปี 2568 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด เปิด 3 ปัจจัยท้าทายที่ต้องเร่งแก้ไข ทั้งมูลค่าหุ้นที่ยังสูงกว่าภูมิภาค กระแสเงินทุนต่างชาติที่ไหลออกต่อเนื่อง และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่ำ
พร้อมส่งสัญญาณเตือนดัชนีมีโอกาสปรับตัวลงแตะระดับ 1,240 จุด ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า โดยชี้ให้เห็นว่านักลงทุนรายใหญ่มีทางเลือกและเริ่มกระจายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสฟื้นตัวได้ หากภาครัฐเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และดึงดูดบริษัทที่มีคุณภาพสูงเข้าจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างความน่าสนใจและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนกลับเข้ามาในตลาดได้ในอนาคต
ยศกร ฟอลเล็ต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในไตรมาสแรกของปี 2568 ยังคงเผชิญกับความผันผวนจากปัจจัยต่างประเทศ โดยเฉพาะท่าทีของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ยังต้องติดตามความไม่แน่นอนในการประกาศนโยบายต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญ 3 ปัจจัยท้าทาย ได้แก่
1.มูลค่าหุ้น (Valuation) - ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยมี P/E ที่ระดับ 14.5-15 เท่า แม้ว่าจะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5-10 ปี ที่ราว 16.2 เท่า แต่หากเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคยังอยู่ในระดับสูงกว่า ทำให้ขาดความน่าสนใจและไม่สามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ถ้าจะให้ P/E ลดอยู่ในระดับที่น่าสนใจ กำไรบริษัทจดทะเบียนต้องออกมาดีด้วย
2.กระแสเงินลงทุนและโมเมนตัม (Fund Flow) - ปัจจุบันเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลออกอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเกิดจากมีหุ้นที่น่าสนใจเข้าจดทะเบียนน้อยมาก ซึ่งมองว่าต้องเร่งดึงดูดบริษัทคุณภาพสูงเข้ามาในตลาด เพื่อช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับตลาดหุ้นไทย
3.ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental) - เศรษฐกิจไทยปี 2567 มีการเติบโตต่ำกว่าคาดการณ์ ทำให้ปีนี้มีโอกาสเติบโตได้มากจากฐานต่ำ อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาล และความคืบหน้าการผลักดันโครงการ EEC จากรัฐบาล ซึ่งมองว่าจะช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนได้
นอกจากนี้ รัฐบาลต้องมีหน่วยงานกลาง ในการวัดผลการใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ และปรับกฎเกณฑ์การกำกับดูแลของหน่วยงานต่างๆ ให้ง่ายขึ้น จากการรวมศูนย์ จะช่วยให้ประเทศไทยพัฒนาขึ้นไปได้อีกมาก
สำหรับแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยนั้น มองว่าดัชนีที่ระดับ 1,300 จุด ในเชิงเทคนิคมีโอกาสย่อลงไปอีก เพราะปัจจุบันนักลงทุนรายใหญ่หลายคนมีทางเลือกมากขึ้น จึงมีการนำเงินออกเพื่อไปลงทุนตลาดหุ้นต่างประเทศเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ประเมินว่าในช่วง 6 เดือนข้างหน้า มีโอกาสแตะแนวรับที่ระดับ 1,240-1,250 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,400-1,450 จุด โดยเชื่อว่าหากมีนโยบายต่างๆ ที่ออกมากระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น และมีหุ้นคุณภาพดีเข้ามาจดทะเบียนมากขึ้น จะสามารถดึงเม็ดเงินลงทุนและช่วยให้ดัชนีฟื้นตัวได้
ยศกร เปิดเผยอีกว่า บลจ. เอ็กซ์สปริง ตั้งเป้าขยายมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมดภายใต้การจัดการ (AUM) ปี 2568 สู่ระดับ 16,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่ 6,100 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเป้าหมายการขยายพอร์ตจากกองทุนส่วนบุคคล 11,000 ล้าน จากเดิม 5,600 ล้านบาท และกองทุนรวมมา 3,000-4,000 ล้านบาท จากเดิม 487 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน มีแผนเตรียมเปิดกองทุนใหม่อีก 7-8 กองทุนในปีนี้ โดยเน้นลงทุนใน Thematic Fund ที่เกี่ยวข้องกับเทรนด์โลก เช่น เทคโนโลยีการป้องกันประเทศ โดยจะออกเป็น Feeder Fund ที่เชื่อมโยงกับ ETF ต่างประเทศ ซึ่งมองว่ากองทุนในลักษณะดังกล่าวนั้น ประเทศไทยยังมีไม่มาก
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังโฟกัสการให้บริการแก่ลูกค้าที่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) และนักลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra High Net Worth) ที่มีขนาดเงินลงทุนจำนวนมาก หรือ Ticket Size ที่ใหญ่เป็นหลัก
นอกจากนี้ ยังเปิดตัวกองทุน X-Plus ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ ทั้งพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชน ระยะสั้นอายุไม่เกิน 90 วัน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่มั่นคง โดยตั้งเป้าเพิ่ม AUM จาก 240 ล้านบาท เป็น 1,000 ล้านบาทภายในสิ้นปี
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney