ท่ามกลางความท้าทายของตลาดทุนไทย ที่ต้องเผชิญกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ภายใต้การนำของ ศาสตราจารย์พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ได้เปิดเผยถึงแผนยุทธศาสตร์ ปี 2568-2570 ซึ่งมุ่งเน้นการฟื้นฟูความเชื่อมั่น และยกระดับตลาดทุนไทยในอนาคต
ด้าน พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ชี้ให้เห็นว่า การฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก จึงเตรียมออกกฎหมายเพิ่มอำนาจให้ ก.ล.ต. เพื่อให้กระบวนการดำเนินคดีรวดเร็วยิ่งขึ้น คาดว่าจะสามารถประกาศใช้ได้ภายใน ก.พ. 2568
ศาสตราจารย์ ดร.พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ให้ความสำคัญกับกระบวนการที่สังเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ เช่น การศึกษาแนวโน้มและนโยบายตลาดทุนของต่างประเทศ ความสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล การทำวิจัยเชิงลึก และการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วนได้ใช้ประโยชน์จากตลาดทุน
ซึ่ง ก.ล.ต. มุ่งหมายขับเคลื่อนแผนดังกล่าว โดยร่วมมือกับผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดความสมดุลและสอดรับกับบริบทของประเทศ อันจะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการส่งเสริมความเชื่อมั่นและความเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศต่อไป
สำหรับแผนยุทธศาสตร์ ก.ล.ต. ปี 2568-2570 มีเป้าหมายหลัก 5 ด้าน ได้แก่
เป้าหมายทั้ง 5 ด้าน เป็นเป้าหมายที่ยกต่อเนื่องมาจากปีที่ผ่านมา เพราะยังสอดคล้องกับพันธกิจของ ก.ล.ต. ทั้งด้านการกำกับดูแลและการพัฒนา แต่ในปีนี้มีการปรับน้ำหนักเป้าหมายในแต่ละด้านให้สมดุลกันมากขึ้น เพื่อให้แผนงานมีความต่อเนื่องและสอดรับระหว่างเป้าหมายแต่ละด้านได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ดังนี้
1. การสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาดทุนมีความน่าเชื่อถือ (trust & confidence) ทั้งด้านการระดมทุน การซื้อขายหลักทรัพย์ และการดูแลผู้เผยแพร่ข้อมูลการเงินและการลงทุน จากระบบกำกับดูแลที่เข้มแข็งและเป็นธรรม เพื่อให้บริษัทจดทะเบียนดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใส ลดความเสี่ยงจากการกระทำที่ไม่เหมาะสม พร้อมยกระดับการกำกับดูแล และดำเนินการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ให้ได้รวดเร็วขึ้น
2. ตลาดทุนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสู่เศรษฐกิจดิจิทัล (digital technology) โดยวางแนวทางสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในตลาดทุนมากขึ้น เพื่อยกระดับตลาดทุนดั้งเดิม พัฒนาตลาดทุนดิจิทัล และส่งเสริมการใช้โทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน รวมถึงพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลแบบ Open Data และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลตลาด ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้ตลาดทุนไทยมีความทันสมัยและแข่งขันได้ในเวทีโลก
3. ตลาดทุนเป็นกลไกสำคัญสู่ความยั่งยืน (sustainable capital market) โดยมีแผนผลักดันให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG ตามมาตรฐานสากลมากขึ้น พร้อมกับการพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิตให้เป็นแหล่งลงทุนใหม่ที่ตอบโจทย์นักลงทุนที่คำนึงถึงความยั่งยืน
4. การทำให้ผู้ลงทุนมีสุขภาพทางการเงินที่ดี (long-term investment) เพื่อให้ประชาชนมีเครื่องมือการออมและการลงทุนที่มั่นคงมากขึ้น แผนยุทธศาสตร์นี้มุ่งผลักดันบัญชีเพื่อการลงทุนระยะยาวรายบุคคล รวมถึงส่งเสริมให้พนักงานบริษัทเข้าร่วมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) มากขึ้น พร้อมให้ความรู้ผู้ลงทุนให้เหมาะสมกับวัยและกลุ่มต่าง ๆ ด้วย
5. เพิ่มศักยภาพในการดำเนินการตามพันธกิจ (SEC excellence) จากการเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมาย โดยจะนำเทคโนโลยี AI และ Big Data มาใช้เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมที่ผิดปกติในตลาดทุน ปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ และยกระดับการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลด้วย
ด้าน พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ตลาดทุนจะต้องเป็นกลไกสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน เศรษฐกิจและตลาดทุนจะทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภาครัฐจะต้องเป็นผู้นำทางในการเสริมสร้างศักยภาพและโอกาสการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ
โดยในส่วนของตลาดทุน สิ่งที่ภาครัฐเห็นว่าเป็นประเด็นสำคัญคือ Trust & Confidence โดยต้องมีกระบวนการการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้น ลงโทษผู้กระทำผิดได้รวดเร็ว และจะเร่งขั้นตอนการเสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มอำนาจการสอบสวนของ ก.ล.ต. โดยเฉพาะกรณีที่มีผลกระทบสูง (high impact) รวมถึงการยกระดับในเรื่องต่าง ๆ ทั้งการเปิดเผยข้อมูลและการกำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพในตลาดทุน
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างจัดทำร่างกฎหมาย โดยจะประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ก.) เพื่อเพิ่มอำนาจให้กับสำนักงาน ก.ล.ต. มากขึ้น โดยจะให้มีอำนาจในการสอบสวนและสืบสวน รวมถึงสั่งฟ้องต่อพนักงานอัยการได้เพิ่มเติม จากขอบเขตอำนาจในปัจจุบันด้วย
ขณะเดียวกัน เชื่อว่าเมื่อประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวแล้ว จะสามารถลดระยะเวลาในการดำเนินคดีต่าง ๆ ลงอย่างมาก ครอบคลุมถึงคดีที่มีผลกระทบสูง (high impact) ซึ่งจะจำกัดขอบเขตความเสียหายของผู้ลงทุนได้ หากมีการดำเนินการทางกฎหมายที่รวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะใช้เวลาอีกราว 2 สัปดาห์ และประกาศให้มีผลบังคับใช้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นส่วนหนึ่งเพื่อช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อไป
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney