บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น SCC รายงานงบการเงินของบริษัทฯ และบริษัทย่อยปี 2567 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีรายได้จากการขาย 511,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี)
และมีกำไรสำหรับปีเท่ากับ 6,342 ล้านบาท ลดลง 76% จากปีก่อน เนื่องจากมีกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในปี 2566 และเอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) มีผลการดำเนินงานลดลง จากการรับรู้ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของโรงงานปิโตรเคมีในเวียดนาม ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง
ในปี 2567 เอสซีจีมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง จาก EBITDA อยู่ที่ 53,946 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ EBITDA ในปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 54,143 ล้านบาท แม้ว่าสถานการณ์โลกยังอยู่ในช่วงที่ท้าทาย และจากอัตรากำไรของธุรกิจปิโตรเคมียังอยู่ในระดับต่ำ
ทั้งนี้ EBITDA สำหรับปี 2567 เป็นผลมาจากการบริหารจัดการภายในมาตรการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงมีสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง สินค้าปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ และสินค้า SCGC Green Polymer นอกจากนี้เอสซีจีได้ดำเนินการมาตรการเร่งด่วน ส่งผลทางด้านการเงินและการเพิ่มประสิทธิภาพ ดังนี้
1. ปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ และการหยุดธุรกิจที่ไม่ทำกำไรในปี 2567 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในอนาคต
2. เงินปันผลรับอยู่ในระดับสูง หลัก ๆ จากการลงทุนในธุรกิจอื่น (SCG Investment) ในปี 2567 เอสซีจีมีเงินปันผลรับอยู่ที่ 14,063 ล้านบาท โดยเงินปันผลรับในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 อยู่ที่ 7,671 ล้านบาท หลัก ๆ จากธุรกิจเครื่องจักรกล การเกษตร และธุรกิจยานยนต์
3. ลดเงินทุนหมุนเวียน เงินทุนหมุนเวียนสุทธิในปี 2567 ของเอสซีจี ลดลงประมาณ 6,200 ล้านบาทจากปีก่อน
4. ลดภาระหนี้ หนี้สินสุทธิของเอสซีจีในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ลดลงมาอยู่ที่ 295,104 ล้านบาท จาก 311,881 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 3 ปี 2567
เมื่อพิจารณาจาก EBITDA ในปี 2567 ที่อยู่ในระดับที่มั่นคง คณะกรรมการบริษัทมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2567 ในอัตรา 5.0 บาทต่อหุ้น รวมเป็นจำนวนเงิน 6,000 ล้านบาท คิดเป็น 95% ของกำไรสำหรับปี
ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาล สำหรับครึ่งปีแรกในอัตรา 2.5 บาทต่อหุ้น และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตรา 2.5 บาทต่อหุ้น คิดเป็นจำนวนเงิน 3,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีการขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 มีนาคม 2568
ท่ามกลางความท้าทายในระดับโลกและในระดับภูมิภาคจากหลากหลายอุตสาหกรรม เอสซีจีมีกำไรสำหรับปี 2567 อยู่ที่ 6,342 ล้านบาท ภาพรวมสถานการณ์โลกประกอบด้วยหลายปัจจัย จากความตึงเครียดทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ อัตรากำไรธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ต้นทุนพลังงานที่ยังมีความผันผวน และอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง
ในขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างมาก จากอัตรากำไรที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการปิโตรเคมีหลายรายต้องหยุดดำเนินการ ภาพรวมสถานการณ์ในประเทศไทย มีการฟื้นตัวและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป การเบิกจ่ายงบประมาณรัฐที่ล่าช้าจากปีก่อน อุปสรรคจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และความท้าทายจากสินค้าประเทศจีนที่ขยายตลาด รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ
นอกจากนี้เอสซีจีเคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) ได้มีการดำเนินการเชิงพาณิชย์โครงการลองเซ็นปิโตรเคมิคอลส์คอมเพล็กซ์ที่ประเทศเวียดนาม (LSP) ส่งผลทำให้ในปี 2567 มีค่าใช้จ่าย (จากค่าเสื่อมราคา และดอกเบี้ย) ประมาณ 6,000 ล้านบาท ทั้งนี้รายได้จากการขายของเอสซีจีสำหรับปี 2567 อยู่ที่ 511,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney