ติดตามความคืบหน้าการตั้งศูนย์กลางทางการประกอบธุรกิจทางการเงิน หรือ Financial Hub ล่าสุด กระทรวงการคลังได้ยกร่างกฎหมายชุดใหม่ พร้อมเตรียมนำเข้าสู่การพิจารณาจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 หวังดึงดูดบริษัทต่างชาติเข้าลงทุนในไทยมากขึ้น
ในแง่การลงทุน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ประเมินว่ามาตรการนี้จะเป็นผลดีต่อหุ้นในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ที่จะได้ประโยชน์จากธุรกรรมการเงินและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น พร้อมยังมองบวกต่อหุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งมีโอกาสดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ (FDI) และกลุ่ม Digital Tech Consult ที่อาจได้รับงานจากสถาบันการเงินต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นด้วย
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าการผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน (Financial Hub) ปัจจุบันได้ยกร่าง “พ.ร.บ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. ...” และเปิดรับฟังความคิดเห็นเสร็จสิ้นแล้ว และจะเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. อย่างช้าต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568
ทั้งนี้ ต้องการดึงดูดนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและสาขาของนิติบุคคลต่างประเทศ 8 ประเภท โดยตั้งในเขตพื้นที่ที่กำหนดและต้องจ้างแรงงานไทยเป็นสัดส่วนตามที่กำหนด โดยสามารถให้บริการแก่ผู้ที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident) เท่านั้น ทั้งนี้จะอนุญาตให้สามารถให้บริการผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศได้ในกรณี ดังนี้
โดยประเมินเป็นบวกต่อเศรษฐกิจระยะกลาง-ยาว จากการจ้างงานเพิ่มขึ้น การมีสถาบันการเงินต่างประเทศรองรับธุรกิจที่ต้องการเข้ามาลงทุนในไทย รวมการขยายขอบเขตบริการทางการเงินคนไทยออกไปต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ประเมินเป็นบวกต่อกลุ่มธนาคาร ในส่วนธุรกรรมการลงทุนและการเงินในประเทศโดยรวมจะเพิ่มขึ้น เน้นหุ้นธนาคารใหญ่ KBANK, SCB, BBL หุ้นนิคมอุตสาหกรรม จากการผลักดัน Financial Hub ส่วนหนึ่งคาดมีผลเป้าหมายดึงเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศ (FDI) และกลุ่ม Digital Tech Consult อาทิ BE8, BBIK ที่มีโอกาสได้งานเกี่ยวข้องกับระบบดิจิทัลสถาบันการเงินต่างประเทศที่ให้ความสนใจเข้ามาเพิ่มเติม
อ่านข่าวหุ้นและการลงทุนกับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney