ตลาดหุ้นกำลังผิดหวัง Easy E-Receipt 2.0 เม็ดเงินเข้า OTOP จับ 3 หุ้นแถวสองรับประโยชน์ทางอ้อม

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ตลาดหุ้นกำลังผิดหวัง Easy E-Receipt 2.0 เม็ดเงินเข้า OTOP จับ 3 หุ้นแถวสองรับประโยชน์ทางอ้อม

Date Time: 10 ม.ค. 2568 11:54 น.

Video

เจาะวิธีทำเงินของ Yahoo ยักษ์ที่ยอมเป็นเงา เพื่อเอาตัวรอด | Digital Frontiers

Summary

  • มาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ช่วยลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท เน้นสินค้า OTOP 20,000 บาท ทำให้กลุ่มค้าปลีกใหญ่ เช่น COM7, SYNEX, DOHOME, GLOBAL ได้ประโยชน์บางส่วน ขณะที่ CPALL, CPAXT, CRC ได้อานิสงส์ทางอ้อมจากรายได้ชุมชนที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งนโยบายแจกเงินหมื่นเฟส 2 ยังเสริมการบริโภค ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มนี้ในช่วงต้นปี

Latest


เริ่มแล้วสำหรับ Easy E-Receipt มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของรัฐบาลที่ต้องการเร่งกำลังซื้อให้ฟื้นตัวขึ้น โดยจะเริ่มตั้งแต่ 16 ม.ค. - 28 ก.พ. โดยนักวิเคราะห์มองว่า เงื่อนไขมาตรการใหม่ของรัฐที่เน้นสินค้า OTOP นั้นสร้างความผิดหวังให้กับตลาดหุ้นที่หวังจะเห็นเม็ดเงินเข้ามาโดยตรง แต่จะได้รับประโยชน์กับ 3 หุ้นแถว 2 ของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่


บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินว่า หลังจาก ครม. มีมติอนุมัติโครงการ Easy E-Receipt 2.0 ในวันที่ 24 ธ.ค. 2024 ที่ผ่านมา ราคาหุ้นในกลุ่มที่ควรจะได้ประโยชน์อย่างกลุ่มค้าปลีกเคลื่อนไหวได้ไม่ดีนัก เนื่องจากเงื่อนไขของโครงการในปีนี้ทำให้กลุ่มค้าปลีกได้ประโยชน์โดยตรงน้อยกว่าปีที่แล้ว


อย่างไรก็ดีราคาหุ้นตอบรับเชิงลบไปแล้วพอสมควร และเรามองว่ากลุ่มค้าปลีกโดยเฉพาะกลุ่ม Gadget และ Home Improvement เช่น COM7, SYNEX, ADVICE, HMPRO, DOHOME, GLOBAL ยังคงได้ประโยชน์จากนโยบายดังกล่าวในส่วนของการลดหย่อน 30,000 บาทอยู่ดี ขณะที่ CPALL, CPAXT และ CRC คาดได้ประโยชน์ทางอ้อมจากรายได้ของชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อยที่มีรายได้สูงขึ้นจากเม็ดเงินส่วนที่ลดหย่อน 20,000 บาท นอกจากนี้ในปีนี้ยังมีนโยบายโอนเงินเฟส 2 เข้ามาเป็นอีกแรงหนุนให้กับการบริโภค


Easy E-Receipt 2.0 ใกล้ถึงเวลาใช้จ่าย สถิติรอบปีที่แล้วเป็นอย่างไร? วันที่ 24 ธ.ค. 2024 ที่ผ่านมา ครม. มีมติอนุมัติโครงการ Easy E-Receipt 2.0 เพื่อให้ประชาชนนำค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2025 ได้ตามที่จ่ายจริงสูงสุด 50,000 บาท โดยแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในร้านค้าทั่วไป 30,000 บาท และค่าใช้จ่ายในวิสาหกิจชุมชน หรือร้านค้า OTOP 20,000 บาท ในช่วงวันที่ 16 ม.ค. – 28 ก.พ. 2025


ส่วนโครงการ Easy E-Receipt 1.0 ในปี 2024 สามารถลดหย่อนภาษีได้ 50,000 บาท เช่นกัน แต่ไม่ได้มีการจำกัดว่าจะต้องเป็นสินค้า OTOP จำนวน 20,000 บาท ทำให้บริษัทจดทะเบียนได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากมูลค่าลดหย่อนเต็ม 50,000 บาท ซึ่งตลาดหุ้นไทยในช่วงมาตรการรอบก่อน 1 ม.ค. – 15 ก.พ. 2024 SET Index ให้ผลตอบแทน -2.0% เนื่องจากการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐที่ยังล่าช้ารวมไปถึงผลประกอบการของหุ้นกลุ่มธนาคารที่ออกมาไม่ดีนัก อย่างไรก็ดีหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวกลับเคลื่อนไหวได้ดีกว่า โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีกที่ให้ผลตอบแทน -0.6% SET Index & Commerce Sector Performance Since The Cabinet approved the "Easy E-Receipt"


มาตรการรอบนี้เหมือนตลาดจะผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้แย่ไปซะทีเดียว ตั้งแต่ที่ประชุมครม. มีมติอนุมัติโครงการ Easy E-Receipt 2.0 จนถึงวันที่ 9 ม.ค. 2025 SET Index ปรับตัวลง 1.7% แต่หุ้นกลุ่มค้าปลีกกลับ Underperform โดยปรับตัวลงกว่า 3.7%


เราคาดว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเงื่อนไขโครงการในปีนี้ไม่ได้ส่งผลบวกเท่ากับเงื่อนไขของโครงการในปีที่แล้ว อย่างไรก็ดีเรามองว่าหุ้นในกลุ่มค้าปลีก โดยเฉพาะกลุ่ม Gadget เช่น COM7, SYNEX, ADVICE รวมไปถึงกลุ่ม Home Improvement เช่น HMPRO, DOHOME, GLOBAL ยังคงจะได้ประโยชน์โดยตรงจากเม็ดเงินลดหย่อนภาษีในส่วนของ 30,000 บาท เพราะเป็นสินค้าชิ้นใหญ่ ขณะที่อีกส่วน 20,000 บาท เรามองเป็นผลประโยชน์ทางอ้อม เนื่องจากจะช่วยให้ชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อยมีรายได้ที่สูงขึ้น ซึ่งดีต่อการบริโภคของเอกชนในระยะถัดไป จึงเป็นบวกทางอ้อมต่อ CPALL, CPAXT และ CRC ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ในช่วงต้นปีนี้ยังมีมาตรการอื่นที่เข้ามาช่วยหนุนการบริโภคอีกแรง


อย่างนโยบายแจกเงินหมื่นเฟส 2 ที่ล่าสุดภาครัฐได้ออกมายืนยันว่าจะโอนเงินได้ก่อนวันที่ 29 ม.ค. 2025 ขณะที่ก่อนหน้านี้ราคาหุ้นได้ตอบรับเชิงลบไปพอสมควรจากทั้งสภาวะตลาดที่ไม่ดี และความผิดจากมาตรก่อนหน้านี้ เราจึงมองว่าการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นช่วงที่นโยบายของภาครัฐเข้ามาน่าจะทำได้ดีกว่าปีที่แล้ว


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ