ผ่านมาเกือบครึ่งทางแล้ว สำหรับการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/67 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยมีการรายงานออกมาแล้ว 104 บริษัท หรือคิดเป็นสัดส่วน 44% ของ Market cap โดยพบว่ากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์คาดการณ์ไว้ โดยลดลงทั้งเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่างประเมินว่าอาจเป็นสัญญาณกดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยให้ผันผวนได้ อย่างไรก็ตาม แม้ผลประกอบการไตรมาส 3/67 จะต่ำกว่าคาดการณ์อยู่มาก แต่นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าอาจเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาว โดยยังต้องติดตามหุ้นกลุ่มบริโภคที่จะมีประกาศออกมาในช่วงสัปดาห์หน้า
วีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน (บลป.) เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ให้ความเห็นกับ "Thairath Money" ว่า กำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3/67 ที่ประกาศออกมาภาพรวมยังค่อนข้างต่ำกว่าคาดไปพอสมควร ประมาณ 20% แต่หากตัดหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีออกจะต่ำกว่าคาดประมาณ 1%
ทั้งนี้ ยังต้องรอติดตามบริษัทจดทะเบียนที่จะมีการประกาศในงบโค้งสุดท้ายในสัปดาห์หน้า โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มบริโภค ค้าปลีก และไฟแนนซ์ หากออกมาไม่ต่ำกว่าคาดมาก ก็มองว่าภาพรวมในไตรมาสนี้ก็ยังดีอยู่
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีอาจเป็นประเด็นกดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยได้บ้าง แต่เชื่อว่าดัชนีได้สะท้อนประเด็นดังกล่าวไปบ้างแล้ว และหากภาพรวมฝั่งเศรษฐกิจจริง (Real Sector) ออกมาไม่ได้แย่กว่าคาด ก็เชื่อว่าดัชนียังสามารถยืนได้ในโซน 1,440-1,470 จุดได้
หากประเมินไปในระยะยาว กำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3/67 จะเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงการฟื้นตัวในระยะถัดไป ซึ่ง ณ ปัจจุบันยังประเมินกำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2568 ของตลาดหุ้นไทยเฉลี่ยไว้ที่ 100 บาทต่อหุ้น ในกรณีที่ผลประกอบการฝั่ง Real Sector ไม่ได้ออกมาต่ำกว่าคาด แต่หากออกมาต่ำกว่าคาด อาจเป็นประเด็นตัวกดดันในระยะถัดไป
อย่างไรก็ตาม ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังมีความกังวลภาพเศรษฐกิจใหญ่ จากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไม่เอื้อกับฝั่งเอเชียเท่าไรนัก อาจทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นยากด้วย
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำนักลงทุนให้รอราคาหุ้นย่อตัวเพื่อซื้อที่แนวรับบริเวณ 1,440-1,470 จุด ถือเป็นจุดสะสมระยะกลาง-ยาว จากเป้าหมายดัชนีปี 2568 ที่ระดับ 1,600 จุด โดยมองว่าราคาหุ้นมีส่วนลด (discount) ประมาณ 10%
โดยเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มที่อิงการบริโภคในประเทศเป็นหลัก อย่างหุ้นขนาดใหญ่ เช่น CPALL, CHG, MTC และหุ้นขนาดเล็ก เช่น SFLEX, SHR และ MAGURO เป็นต้น
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า กำไรสุทธิไตรมาส 3/67 ของบริษัทจดทะเบียนประกาศออกมาแล้ว 104 บริษัท หรือคิดเป็นสัดส่วน 44% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market cap.) พบว่าออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ลดลงทั้งเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยบริษัทจดทะเบียนประกาศกำไรสุทธิออกมารวม 9.1 หมื่นล้านบาท ลดลง 32% จากไตรมาสก่อน และลดลง 29% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรสุทธิที่ประกาศออกมายังต่ำกว่าที่ BLOOMBERG CONSENSUS คาดการณ์ไว้ถึง 24%
ทั้งนี้ กำไรสุทธิที่ประกาศออกมาน่าจะกดดันตลาดหุ้นให้ผันผวนในช่วงของการรายงานงบไตรมาส 3/67 ถึงกลางเดือนนี้ ถือเป็นสัญญาณลบสำหรับทิศทางดัชนีตลาดหุ้นไทย โดยอาจทำให้เห็นวัฏจักรของการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียนทั้งในปี 2567 และปี 2568 กลับมาอีกรอบหนึ่ง
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้