จับตาการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยนักวิเคราะห์ฯ คาดว่าหาก "โดนัลด์ ทรัมป์" ชนะ นโยบายของพรรครีพับลิกันอาจก่อให้เกิดแรงกดดันต่อตลาดหุ้นไทย ทั้งยังเสี่ยงให้ดัชนีหลุดต่ำกว่า 1,400 จุด และอาจมีการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ
ในทางกลับกัน หาก "กมลา แฮร์ริส" จากพรรคเดโมแครตชนะ ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นเกิดใหม่อาจมีการตอบรับเชิงบวก โดยคาดว่าดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้
ปิดตลาดเช้าวันนี้ (4 พ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,464.21 จุด เพิ่มขึ้น 0.04 จุด หรือ +0.00% จากดัชนีวันก่อนหน้า ด้วยมูลค่าซื้อขายรวม 15,488.07 ล้านบาท
วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นกับ “Thairath Money” ว่า สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ข้อมูลล่าสุดจากหลายๆ ผลสำรวจพบว่าระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ และกมลา แฮร์ริส มีคะแนนที่ค่อนข้างสูสีกัน
ทั้งนี้ หาก “โดนัลด์ ทรัมป์” พรรคริพับลิกัน ชนะการเลือกตั้ง จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นฝั่งเอเชีย ด้วยนโยบายที่เน้นให้สหรัฐฯ เติบโตภายใต้ American First และหนึ่งในนโยบายหลักได้แก่การทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งมีแผนจะขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนมากถึง 60% ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นคือเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นหรืออาจทำให้เงินเฟ้อไม่ปรับลง สุดท้ายจะกระทบไปยังการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่อาจปรับลดดอกเบี้ยน้อยกว่าคาดการณ์เดิม
ดังนั้น จะทำให้เงินไม่ไหลเข้าฝั่งเอเชียและอีกนัยยะจะกดดันให้สกุลฝั่งเอเชียอ่อนค่า ซึ่งตลาดหุ้นฝั่งเอเชียจะไม่น่าสนใจ ในแง่ปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจจีนจะรับผลกระทบมากขึ้นจากสงครามการค้า และมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยผ่านการส่งออกและท่องเที่ยว มีเพียงหุ้นกลุ่มเดียวที่จะได้ประโยชน์ คือ นิคมอุตสาหกรรม
แต่หากเป็น “กมลา แฮร์ริส” พรรคเดโมแครต การขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนอาจไม่เข้มงวดเท่าทรัมป์ เพราะแฮร์ริสเชื่อว่าจะส่งผลให้ประชาชนสหรัฐฯ รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่ก็เชื่อว่าบางสินค้าจะยังโดนภาษี เช่น รถ EV ส่วนการดำเนินนโยบายของเฟดก็คงขึ้นกับว่าเศรษฐกิจและเงินเฟ้อจะดำเนินการไปอย่างไร แต่เงินเฟ้อจะไม่แรงเท่าทรัมป์ กระแสเงินลงทุนต่างชาติก็อาจจะกระจายไปยังประเทศต่างๆ ขึ้นกับความสามารถในการทำกำไร
กลยุทธ์การลงทุน ไม่ว่าจะเป็นใครมาก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วคือ Valuation หุ้นไทย ไม่ถูกมากนัก Forward P/E ที่ 14.6 เท่า และปัจจัยหนุนหุ้นไทยก็เริ่มหมดเพราะก่อนหน้าสะท้อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กองทุนวายุภักษ์ การลดดอกเบี้ยของ กนง. และเฟด
ด้านผลประกอบการไตรมาส 3/67 ส่วนใหญ่ก็ตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ จึงควรเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น และเน้นหุ้น Defensive ที่ต้านทานต่อเศรษฐกิจได้ดี อาทิ โรงพยาบาล (BDMS) รวมไปถึงเครื่องยนต์หลักเศรษฐกิจไทยอย่างการบริโภค (CPALL, CPN) และท่องเที่ยว (AOT, CENTEL, MINT)
ด้าน สรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า แนะนำนักลงทุนให้ติดตามการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพราะถือเป็นตัวชี้วัดทิศทางตลาดหุ้นไทย และกลุ่มตลาดหุ้นเกิดใหม่ในระยะสั้น พร้อมทั้งมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนของต่างชาติ ซึ่งเมื่อผลการเลือกตั้งชัดเจน หลังจากนั้นจึงค่อยเลือกหุ้นที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน
ทั้งนี้ หาก “โดนัลด์ ทรัมป์” ชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ ประเมินว่าอาจเป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดหุ้นในภาพรวมได้ โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ และดัชนีตลาดหุ้นไทยมีโอกาสหลุด 1,400 จุด รวมถึงมีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนต่างชาติจะไหลออกด้วย โดยแนะนำลงทุนหุ้นขนาดกลาง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว เช่น ITC, PRI และ OSP เป็นต้น
แต่หาก “กมลา แฮร์ริส” ชนะการเลือกตั้ง เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่จะตอบรับในเชิงบวก และมีโอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 1,490 ได้ โดยแนะนำลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ เช่น CPAXT, CPALL, และ MTC เป็นต้น
ขณะที่บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า วันพุธนี้จะรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งล่าสุดคะแนนความนิยมของทั้ง 2 พรรคสูสีกันมาก ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ตลาดหุ้นโลกรวมถึงไทยอยู่ในภาวะผันผวน จากนโยบายที่แตกต่างกันสุดขั้วของทั้ง 2 พรรค และในอดีตตลาดหุ้นมักจะย่อตัวในช่วงก่อนและหลังเลือกตั้ง 1 สัปดาห์
ในมุมกระแสเงินลงทุน ยังเห็นต่างชาติขายสุทธิหุ้นทุกแห่งในภูมิภาคทั้งในวันศุกร์ และในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อลดความเสี่ยงความไม่แน่นอนจากการเลือกตั้งสหรัฐ อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยยังมีเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ช่วยพยุงอยู่
อย่างไรก็ตาม หากพรรคริพับลิกันชนะ นักลงทุนอาจต้องรับมือผลกระทบจากนโยบายต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต อาทิ การลดภาษีเงินได้, TRADE WAR สหรัฐ-จีน, การเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากทั่วโลก, ความมั่นคงและการป้องกันประเทศ, สนับสนุนพลังงานเก่า (ถ่านหิน) และอื่นๆ โดยหุ้นกลุ่มที่คาดได้ประโยชน์ คือ กลุ่มนิคม เดินเรือ ขนส่ง เป็นต้น
แต่ถ้าหาก พรรคเดโมแครตชนะ คาดว่าจะยังคล้ายกับนโยบายที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ การเรียกเก็บภาษี การสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตร การส่งเสริมการศึกษาและพลังงานสะอาด ขณะที่ทิศทางการปรับลดดอกเบี้ย น่าจะเห็นความต่อเนื่องของการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น หากเงินเฟ้ออยู่ภายใต้การควบคุม โดยหุ้นกลุ่มที่คาดได้ประโยชน์ คือ กลุ่มได้ประโยชน์จากบาทแข็ง และดอกเบี้ยขาลง เป็นต้น
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้