ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เดินหน้ารักษาสมดุลจากนักลงทุนทุกกลุ่ม ล่าสุดได้เน้นการสนับสนุนนักลงทุนในประเทศ ผ่านโครงการ “ตลาดหลักทรัพย์ฯ สัญจร” ซึ่งได้รับการตอบรับดี โดยเฉพาะจากนักลงทุนรุ่นใหม่
นอกจากนี้ ยังได้หารือกับนักลงทุนต่างชาติและสถานทูต เพื่อสร้างความมั่นใจในตลาดหุ้นไทย รวมถึงเข้าปรึกษาพูดคุยกับสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ในการพัฒนากองทุนใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ESG ด้วย
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลตั้งแต่ต้นปี 2567 มีการเปิดบัญชีหลักทรัพย์ใหม่แล้วกว่า 200,000-300,000 บัญชี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแนวทางที่จะรักษาความสมดุลของสัดส่วนผู้ลงทุนทุกกลุ่ม ทั้งนักลงทุนรายย่อย นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนต่างประเทศ
ซึ่งที่ผ่านมาให้การได้สนับสนุนนักลงทุนในประเทศเป็นหลัก ผ่านการทำโครงการ “ตลาดหลักทรัพย์ฯ สัญจร” ในต่างจังหวัด เพื่อให้ความรู้และให้มีการเข้าถึงตลาดทุนไม่กระจุกตัวเพียงเฉพาะแค่คนเมือง
จากการจัดงาน “ตลาดหลักทรัพย์ฯ สัญจร” ทั้งในจังหวัดเชียงใหม่และขอนแก่น พบว่า ได้รับการตอบรับดีกว่าที่คาดไว้ และนักลงทุนรุ่นใหม่ให้ความสนใจค่อนข้างมาก ขณะที่ยอดเปิดบัญชีใหม่นับตั้งแต่ต้นปี 2567 อยู่ที่ราว 200,000-300,000 บัญชี
ขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีการนัดคุยกับสถานทูตและนักลงทุนต่างประเทศด้วย โดยพบว่านักลงทุนต่างประเทศยังให้ความสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ ได้มีการปรึกษาสมาคมบริษัทจัดการลงทุน ในหลายประเด็น โดยเฉพาะการสนับสนุนเพื่อออกกองทุนใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง ESG รวมถึงมีความร่วมมือระหว่าง บลจ. และตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้ความรู้นักลงทุนเกี่ยวกับกองทุน ThaiESG อย่างต่อเนื่อง พร้อมเชื่อว่าเกณฑ์การประเมินด้าน ESG จะมีบทบาทมากขึ้นในอนาคต สำหรับนักลงทุนสถาบัน
อัสสเดช กล่าวอีกว่า ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยน่าจะดีขึ้น และเชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนของกองทุนรวมวายุภักษ์ ที่ยังเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไม่เต็มที่นัก ขณะที่กองทุน ThaiESG คาดว่าจะมียอดการลงทุนเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 4/67 เนื่องจากเป็นการลงทุนเพื่อบริหารภาษีนั้น เชื่อว่าจะทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้
ด้าน ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปียังมีปัจจัยหนุนรออยู่ ได้แก่ การส่งออกและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว รวมถึงกำไรของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3/67 ที่จะประกาศออกมา ต่อเนื่องถึงไตรมาส 4/67 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าในช่วงครึ่งปีแรก สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในประเทศ Emerging Market เริ่มเห็นสัญญาณเงินลงทุนต่างชาติเคลื่อนย้ายมายังตลาดหุ้นอาเซียน ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นส่วนใหญ่มีการปรับเพิ่มขึ้นมากในเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยเฉพาะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ตามลำดับ
ทั้งนี้ เชื่อว่าทิศทางกระแสเงินลงทุนต่างชาติจะไหลเข้าได้ต่อเนื่อง หากการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/67 ของบริษัทจดทะเบียนออกมาเป็นที่น่าพอใจ แต่ต้องติดตามต่อว่าทิศทางจะเป็นอย่างไร เนื่องจากช่วงไตรมาส 4/67 จะเป็นช่วงปิดงบที่นักลงทุนต่างชาติมักจะมีการชะลอลงทุน
ในเดือนกันยายนถือเป็นจุดเปลี่ยน ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1.448.83 จุด เพิ่มขึ้น 6.6% จากสิ้นเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 ทำให้เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2566 หุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.3%
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้