เซียนหุ้นรายใหญ่และเก๋ากึ้กอยู่ในตลาดหุ้นไทยมายาวนานหลายปี เคยให้หลักคิด “ฮินท์” สำหรับการลงทุนในยามดัชนีหุ้นร่วงไว้ 3 ข้อด้วยกัน
ข้อแรกดูว่า เวลาตลาดลงหุ้นตัวไหนไม่ค่อยร่วงตาม หรือร่วงก็ร่วงน้อยกว่าหุ้นตัวอื่น
ตัวนั้นจัดว่าซื้อได้ เพราะเวลาตลาดปรับตัวเป็นขาขึ้น เจ้าหุ้นพวกนี้มักจะนำโด่งไปก่อน...
ไม่บอกก็น่าจะเดาออก
ข้อสอง ดูหุ้นพื้นฐานที่เป็นอนาคต และมีโมเดลธุรกิจที่เสียบเข้าไปกับธุรกิจใหม่ๆอันเป็นที่ต้องการในอนาคตได้ทันที หุ้นตัวนั้นย่อมน่าลงทุน
ข้อสาม...หุ้นที่ถึงจะไม่ขึ้น-ไม่ลงสักเท่าไหร่ หรือยืนนิ่งๆไม่หือไม่อือ แต่ถึงเวลาจ่ายปันผลปรากฏว่าจ่ายดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก หุ้นตัวนั้นน่าลงทุน
เกริ่นมาแบบนี้ ก็ด้วยเหตุที่มีนักเศรษฐศาสตร์จากแบงก์พาณิชย์ และนักวิเคราะห์ประเภทกูรู และฟันด์ เมเนเจอร์ ที่บริหารพอร์ตการลงทุนให้นักลงทุนรายใหญ่ๆมีความเห็นตรงกันว่า
ถึงเวลาบริหารพอร์ตหุ้นกันใหม่อีกครั้งแล้ว เพราะเศรษฐกิจโลกจะกลับมาฟื้นตัวรอบใหม่ในรูปแบบของ New normal หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงด้วยการหั่นดอกแรงถึง 0.50%
บางค่ายอาจมีมุมมองอีกด้านด้วยข้อสงสัยที่ว่า ลดดอกแรงขนาดนี้เพราะเห็นอาการเศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ล่ะซี?
แต่คำตอบจากการเป็นพี่ใหญ่ของเศรษฐกิจโลกซึ่งต้องแจกแจงให้ชัดเรื่องการปรับตัวที่ดีขึ้นของ GDP การควบคุมอัตราเงินเฟ้อสำเร็จ ไปจนถึงเรื่องของการจ้างงาน ซึ่งส่งผล ให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้นไปอย่างต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้านี้
เป็นเครื่องสะท้อนที่ดีที่สุดแก่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่กูรูไทยเราใช้คำว่า Rise of World Economy
ที่ดีกว่านั้นก็คือ ไม่มีตลาดหุ้นประเทศใดที่มีหุ้นเทคโนโลยีใหญ่ และมีอัตราการเติบโตสูงได้มากเท่ากับตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ได้พินิจพิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ บวกกับการคาดการณ์ไปข้างหน้าว่า ธนาคารกลางในหลายประเทศจะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก ตามแนวนโยบายการปรับลดอัตราลงอย่างต่อเนื่องของเฟดในช่วงเวลานับจากนี้ไปอีก 2 ปีข้างหน้า
โอกาสที่จะเห็นเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจของประเทศไทยเรากลับมาสด ใส คนไทยมีรอยยิ้มอีกครั้งจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น ก็สุขใจเป็นที่สุดแล้ว
สำหรับตลาดหุ้นซึ่งน่าจะกลับมาเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจอีกครั้งในคราวนี้ ใครที่ยังไม่ได้ลงทุนในหุ้นตัวไหน ก็อยากให้ลองศึกษาดูจากฮินท์ที่ให้ไปข้างต้นโดยเฉพาะในเวลาที่ตลาดหุ้นแกว่งตัวมากๆ
ว่าแต่จะลงทุนรอบนี้ หรือรอบหน้าซึ่งมีผู้คาดว่า ในภาวะที่เลวร้ายสุดเพราะมีสงคราม อาจทำให้ดัชนีหุ้นรูดลงไปต่ำถึง 600 จุด แต่ที่สุดก็จะกลับมาเหมือนที่เคยกลับมาทุกครั้ง
ถ้าถามว่า ระยะข้างหน้าห่างกันแค่ไม่กี่ก้าวเนี่ย จะลงทุนอะไรดี ระหว่างหุ้นกองทุน ตอบได้ทันทีว่า กองทุน LTF และ RMF ลงทุนได้ก่อนลง เพราะประเมินว่า ราคากำลังจะพุ่งขึ้น
ส่วนหุ้นน่ะ บอกไปแต่ต้นแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ต้องไม่ลืมคำว่า การลงทุนมีความเสี่ยง.
มิสไฟน์
คลิกอ่านคอลัมน์ “กระจก 8 หน้า” เพิ่มเติม