ผ่าอนาคต บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น OR ผู้นำในตลาดสถานีบริการน้ำมันในไทย หลังไตรมาส 2/67 ประกาศผลประกอบการออกมาค่อนข้างน่าผิดหวัง จากมีปริมาณขายน้ำมันลดลง กดดันกำไรหดตัวกว่า 8% เหลือเพียง 2.5 พันล้านบาท
การลดลงของปริมาณขายน้ำมัน ไม่เพียงแค่สะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจ แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่ต้องเผชิญในระยะยาว โดยเฉพาะจากกระแสข่าวดราม่า "น้ำมันไม่เต็มลิตร" กดดันความไม่เชื่อมั่นผู้ใช้บริการอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
แม้ว่า OR จะมีการปรับกลยุทธ์และขยายธุรกิจในหลายด้าน อย่างการเพิ่มสาขา Cafe Amazon และการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ แต่ยังน่าจับตาว่าปัจจัยเหล่านี้จะทำให้การเติบโตในอนาคตของ OR เป็นไปอย่างไปคาดหวังไว้หรือไม่
บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น OR รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/67 ว่า ในภาพของธุรกิจ Mobility ซึ่งเป็นธุรกิจหลักในปัจจุบัน รายได้ขายและบริการ ลดลง 5,935 ล้านบาท หรือ -3.4% จากภาพรวมปริมาณจําหน่ายปรับลดลง 517 ล้านลิตร หรือ -7.5% แม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น
ธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน มีปริมาณจำหน่ายปรับลดลง 412 ล้านลิตร หรือ -12.8% ทั้งในดีเซลและเบนซิน โดยมีการปรับเพิ่มเพดานราคาขายปลีกดีเซล รวมทั้งจากประเด็น ข่าวปลอมในช่วงต้นไตรมาสที่แล้วที่ค่อยๆ คลี่คลาย อีกทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
สำหรับธุรกิจตลาดพาณิชย์ มีปริมาณจำหน่ายปรับลดลง 105 ล้านลิตร หรือ -2.9% จากดีเซลและเบนซินจากการแข่งขันสูง ขณะที่น้ำมันอากาศยานปรับเพิ่มขึ้นจากการขยายการขายให้กับลูกค้ารายใหม่รวมถึงมีการเดินทางระหว่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/67 ที่ 2,757 ล้านบาท ลดลง 8% จากไตรมาส 2/66 ที่ทำได้ 2,537 ล้านบาท และลดลง 31.9% จากไตรมาส 1/67 ที่ทำได้ 3,723 ล้านบาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ฝ่ายวิจัยฯ ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2567-2568 ลง 10.6% และ 9.4% จากเดิม มาอยู่ที่ 1.07 และ 1.14 หมื่นล้านบาท เพื่อสะท้อนปริมาณขายน้ำมันโดยรวมในช่วงครึ่งแรกปี 2567 ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าที่ประเมินไว้ จากประเด็นข่าวเกี่ยวกับความไม่มั่นใจเกี่ยวกับมาตรวัดปริมาตรน้ำมันในสถานีบริการ
ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดของ OR ปรับตัวลดลงจาก 42.2% ในปี 2566 มาอยู่ราว 39.6% ในงวดไตรมาส 2/67 โดยฝ่ายวิจัยได้ปรับลดปริมาณขายน้ำมันในตลาดค้าปลีกปี 2567-2568 ลง 7.0% และ 5.1% จากเดิม มาอยู่ที่ 1.15 และ 1.17 หมื่นล้านลิตร โดยยังคงสมมติฐานกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่ไว้ 1.0 บาท/ลิตร ไว้ตามเดิม
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ระบุอีกว่า ในระยะสั้น ไตรมาส 3/67 คาดกำไรสุทธิจะอ่อนตัวลงต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน กดดันหลักจากธุรกิจ Mobility ที่คาดปริมาณขายจะอ่อนตัวลงตามการเข้าสู่ช่วง Low Season ของการเดินทางในช่วงฤดูฝน และผ่านพ้นช่วงวันหยุดยาวในช่วงไตรมาส 2 มาแล้ว
ขณะที่กำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตร คาดยังประคองตัวอยู่ในระดับใกล้เคียงเดิม ประกอบกับธุรกิจ Lifestyle ที่คาดปริมาณขาย Cafe Amazon จะปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน หลังผ่านพ้นช่วง High Season ของเครื่องดื่มในช่วงฤดูร้อน
ทั้งนี้ ภายใต้ประมาณการใหม่ ส่งผลให้กำไรสุทธิปี 2567 ลดลง 3.2% จากปีก่อน ตามปริมาณขายน้ำมันที่อ่อนตัว ถึงแม้คาดว่าธุรกิจ Lifestyle จะมีรายได้เติบโตต่อเนื่องจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น ตามกลยุทธ์ขยายสาขา Cafe Amazon รวมถึงธุรกิจต่างประเทศที่คาดยังมียอดขายน้ำมันเติบโตตามทิศทางเศรษฐกิจในตลาดโลกที่คาดจะเริ่มฟื้นตัว
ในขณะที่ปี 2568 คาดกำไรสุทธิจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้นได้ราว 6.1% จากปีนี้ หนุนจากทั้งธุรกิจ Mobility ที่คาดปริมาณขายน้ำมันจะเริ่มทยอยฟื้นตัว และธุรกิจ Lifestyle ที่คาดยังเห็นการเติบโตต่อเนื่องตามการขยายสาขา และแนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัว