หุ้นมูลค่าซื้อขายสูงสุด NEX ปิด 3.16 บาท ลบ 0.90 บาท, CPALL ปิด 58.75 บาท ลบ 0.50 บาท, CPF ปิดที่ 23.20 บาท บวก 0.70 บาท, DELTA ปิด 77 บาท บวก 2.50 บาท, EA ปิด 23.70 บาท ลบ 1.20 บาท
บล.เอเซียพลัส ออกบทวิเคราะห์ ระบุปัจจัยการเมือง กรณี ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งรับคำร้อง 40 สว.ขอให้วินิจฉัยนายกฯ เศรษฐา ขาดคุณสมบัติหรือไม่ จากกรณีแต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็น รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี แนะสะสมหุ้นพื้นฐานในยามที่ดัชนีย่อตัวลงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่กลับมากดดันตลาดหุ้นไทยให้ผันผวนอีกครั้ง และส่งผลให้ FUND FLOW และมูลค่าซื้อขายชะลอตัวในช่วงสั้นๆ
แนะนักลงทุนกลับมาโฟกัสที่ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นที่ราคาย่อตัวลงมาเป็นกลยุทธ์การลงทุน เพราะถ้าการเมืองกลับมาอยู่ในภาวะปกติ หุ้นพื้นฐานดีจะเป็นกลุ่มแรกที่ราคาขยับขึ้นได้ดี แต่ถ้าการเมืองกลับมาร้อนแรงหุ้นพื้นฐานก็มีโอกาสย่อตัวได้น้อยกว่า ดังนั้น เอเซีย พลัสทำการค้นหาหุ้นที่ทำ DIVERGENCE กับพื้นฐานคือเป็นหุ้นที่กำไรงวด 1Q67 โตเด่นทั้ง QoQ และ YoY แต่ราคานับตั้งแต่ต้นปีนี้ยังไม่ขยับขึ้นได้ผลลัพธ์ ดังนี้ KCE, HANA, AURA, HMPRO, CPN, ERW, BBL, SCGP, KTB, TIDLOR, TOP, OR, CENTEL, ADVANC, AEONTS, OSP, TPIPL, TLI, ITC, KBANK, TCAP!!
ขณะที่ ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ และนายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ไทย ให้ความเห็นว่า ความเสี่ยงทางการเมืองระยะสั้นเพิ่มสูงขึ้น เพราะทำให้การเมืองไทยเข้าสู่ภาวะอึมครึมอย่างน้อย 1 เดือน กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน โดยเฉพาะต่างชาติจนกว่าจะมีความชัดเจนของคำวินิจฉัยออกมา
หากคำวินิจฉัยออกมาเป็นบวกต่อนายกรัฐมนตรี จะช่วยปลดล็อกความกังวลการเมืองที่กดดันหุ้นไทย ทำให้รัฐบาลกลับมาเดินหน้าทำงานได้เต็มที่อีกครั้ง เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโดยรวม แต่หากคำวินิจฉัยออกมาเป็นลบ อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวนายกฯ และ ครม.ทั้งคณะ ต้องเสียเวลาไม่น้อยกว่า 2 เดือน กว่าจะมีรัฐบาลใหม่ ทำให้การเบิกจ่ายงบฯปี 67 และการจัดทำงบฯใหม่ปี 68 ล่าช้า
กระทบต่อเศรษฐกิจโดยตรงและน่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยที่เปราะบางอยู่แล้ว มีโอกาสปรับตัวลงทำจุดต่ำใหม่ของปีนี้ได้!!
อินเด็กซ์ 51