ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นบริษัท เทอร์ราไบท์ พลัส จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น TERA เข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดตลาดอยู่ที่ 3.90 บาท เพิ่มขึ้น 2.15 บาท หรือ 122.85% จากราคาจองซื้อที่ 1.75 บาท ต่อมาในช่วงพักการซื้อขาย ปิดตลาดช่วงเช้า ราคาหุ้นอยู่ที่ 3.18 บาท เพิ่มขึ้น 1.43 บาท หรือ 81.71%
โดย บริษัท เทอร์ราไบท์ พลัส จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายอุปกรณ์ด้านไอที และให้บริการระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร เข้าระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้นไอพีโอ 90 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 37.50% ของหุ้นทั้งหมด รวมมูลค่า 157.50 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจระบบคลาวด์ (Cloud) และลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
สำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า TERA มีความโดดเด่นด้านการให้บริการ Cloud และความต่อเนื่องของรายได้ โดยมีจุดแข็งด้านการบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ซึ่งการเติบโตที่สำคัญมาจากการให้บริการ Local Cloud แบรนด์ T.Cloud ของบริษัทเอง และ Public Cloud ของ Microsoft และ AWS โดยเน้นการให้บริการที่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income)
รวมทั้งเป็นเจ้าของซอฟต์แวร์แอปพลิเคชันภายใต้เครื่องหมายการค้า “Skyfrog” ระบบบริหารจัดการเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าที่ตอบโจทย์ด้านประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนการขนส่ง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 49% ของรายได้ทั้งหมดในปี 2566
ทั้งนี้ คาดรายได้ปี 2567 เติบโตจากรายได้การให้บริการเป็นหลัก โดยเฉพาะบริการ Cloud ที่เป็นไปตามกระแสการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัล ทำให้อุปสงค์ในการใช้พื้นที่ Cloud เพิ่มขึ้น และคาดสัดส่วนรายได้จากการให้บริการเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 50% ด้วยบริษัทมุ่งเน้นขยายการให้บริการ และมี Backlog รอการรับรู้สำหรับรายได้จากการให้บริการในปี 2567 อยู่ราว 171.36 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 57% ของรายได้จากการให้บริการปี 2566
พร้อมกันนี้ คาดอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจากรายได้การให้บริการที่เพิ่มขึ้น ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าอัตรากำไรขั้นต้นจากการขาย ประกอบกับการควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งไม่มีรายการค่าใช้จ่าย One-time สำหรับการนำบริษัทเข้าจดทะเบียน เป็นปัจจัยหนุนให้อัตรากำไรสุทธิปี 2567 ขยายตัวต่อเนื่องจากปี 2566
อย่างไรก็ดี การระดมทุนเพื่อลงทุนใน T.Cloud version ใหม่ รวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และเพื่อเป็นเงินทุนในการประมูลงานโครงการในครั้งนี้ มีความเหมาะสม โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตามต่อ ได้แก่ การให้บริการใหม่ๆ และการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อผลประกอบการในอนาคต
นอกจากนี้ ความเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่ 1) การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี 2) การแข่งขันที่สูง 3) มูลค่าและจำนวนงานที่ได้รับเพิ่มในแต่ละปี โดยการประเมินเบื้องต้น อิงจาก P/E ratio เฉลี่ยของผู้ประกอบธุรกิจใกล้เคียงกันที่ 10.90 เท่า มองว่ามูลค่าเหมาะสม ณ ราคาไอพีโอมีพรีเมียมแล้ว
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้