ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในการซื้อขายช่วงเช้าวันนี้ ปรับตัวลดลงแรง โดยทำจุดต่ำสุดที่ 1,367.14 จุด หรือลดลงกว่า 29.24 จุด นักลงทุนยังกังวลความเสี่ยงสงครามในตะวันออกกลาง อาจทำราคาน้ำมันพุ่ง ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายปรับตัวลงช้า
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยกับ “Thairath Money” ว่า ปัจจัยหลักที่กดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยในวันนี้ มองว่ามาจากความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง หลังอิหร่านและอิสราเอลมีการตอบโต้ไปมา และยังไม่แน่ชัดว่าจะยืดเยื้อแค่ไหน
ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ตลาดกังวลว่าราคาน้ำมันจะปรับตัวสูง ส่งผลให้การควบคุมเงินเฟ้อยากขึ้น และอาจส่งผลให้โอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ช้าลง ซึ่งข้อมูลจาก FedWatch Tool ยังแสดงให้เห็นการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับลดดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียว ในช่วงไตรมาสที่ 3/67
ขณะเดียวกัน หากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยช้าลง อาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวแข็งค่าต่อไป ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยอีกระยะหนึ่ง จากกระแสเม็ดเงินลงทุนต่างชาติจะยังไม่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ดี ประเมินว่าแนวรับแรกจะอยู่ที่ระดับ 1,367 จุด และเชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะสามารถยืนเหนือ 1,350 จุดได้ ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ระดับ 1,380 จุด โดยแนะนำนักลงทุนระยะสั้นให้ถือเงินสดมากขึ้น เพื่อรับกับปัจจัยเสี่ยงในระดับสูง ส่วนนักลงทุนระยะยาว แนะเข้าลงทุนในหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมัน และการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567
ด้าน วทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นกับ “Thairath Money” ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับลงประเมินว่าเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ ความกังวลดอกเบี้ยจะไม่ปรับลงของธนาคารกลางสหรัฐฯ หลังจากรายงานตัวเลขเศรษฐกิจแข็งแกร่ง เช่น ยอดค้าปลีก และ ตลาดแรงงาน ขณะที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ก็ได้ออกมารายงานว่าดอกเบี้ยอาจอยู่ระดับสูงแบบนี้และจะยังไม่ปรับจนกว่าเงินเฟ้อจะลงมาตามเป้าหมาย ประกอบกับ ยังมีความกังวลสงครามต่างๆ ในตะวันออกกลาง อิหร่าน และ อิสราเอล ด้วย
ส่วนแรงขายหลักๆ พบว่าออกมาจาก CPALL และ SCB แต่กรณีของ SCB เป็นการ Dilute เพราะประกาศจ่ายปันผลราว 7.8 บาท ต่อหุ้น รวมไปถึง DELTA แต่จากการประเมินว่ามองว่าเป็นเพียงแรงขายปกติ มิได้มีข่าวสารใดที่มีนัยยะต่อหุ้นรายตัว
อย่างไรก็ตาม ประเมินแนวโมดัชนีช่วงถัดไปจะฟื้นตัวได้เพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลังจากรัฐบาลเตรียมผ่านงบประมาณ รวมไปถึงความชัดเจนของ Digital Wallet และนโยบายการเงินที่ชัดเจนว่าจะคงดอกเบี้ยไว้ช่วยลดแรงคลายกังวลเกี่ยวกับการไหลออกของเงิน ขณะที่การท่องเที่ยวแม้จากนี้จะเข้าสู่ช่วง Low Season แต่ก็จะฟื้นตัวในช่วงปลายไตรมาสสามและเร่งตัวขึ้นในช่วงไตรมาสสี่ โดยคาดการณ์กรอบดัชนีจากนี้ 1,350-1,400 จุด
ทั้งนี้ มองดัชนีปัจจุบันเป็นโอกาสสะสม ตามการคาดการณ์ว่าจะฟื้นตัวในช่วงถัดไป เน้นที่กลุ่มค้าปลีก (BJC, CPALL, CPAXT) ได้ประโยชน์จาก Digital Wallet กลุ่มท่องเที่ยว (AOT) ตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว กลุ่มธนาคาร (BBL, KBANK) ปัจจัยบวกดอกเบี้ยไม่ปรับลง กลุ่มส่งออก (TU) ผลบวกเงินบาทอ่อนค่า และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังแข็งแกร่ง