DR หรือ Depositary Receipt หนึ่งในเครื่องมือการลงทุนที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ผ่านกระดานซื้อขายตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง จากวิธีการซื้อขายที่ง่าย ใช้เงินเริ่มต้นน้อย และมีต้นทุนที่ถูกกว่าการเปิดบัญชีลงทุนเองในต่างประเทศ พร้อมยังลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนได้อีกด้วย
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้มีความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (SGX) ในโครงการ “DR Linkage” โดยนำหุ้นไทยจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ได้แก่ CPAll, AOT, PTTEP, ADVANC, DELTA, GULF, KABNK และนำหุ้นสิงคโปร์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ได้แก่ SIA, STEG, SINGTEL พบว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน สะท้อนจากปริมาณการซื้อขายเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
บลิส ชาง ผู้อำนวยการฝ่ายซื้อขายหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (Bliss Chang, Director Securities Trading, SGX) เปิดเผยกับ “Thairath Money” ว่า ภายใต้ความร่วมมือโครงการ DR Linkage กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น พบว่า นักลงทุนต่างให้ความสนใจเป็นอย่างมาก และมีแนวโน้มความสนใจของจำนวนนักลงทุนทั้งสิงคโปร์และไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทำนองเดียวกัน เนื่องจากโครงการดังกล่าว เป็นส่วนช่วยขับเคลื่อนให้สามารถเข้าถึงการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่มีศักยภาพ และเป็นผู้นำภาคธุรกิจต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์อื่นได้
อย่างไรก็ดี หากต้องการลงทุนใน DR หุ้นอ้างอิงของตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ นักลงทุนไทยสามารถพิจารณาปัจจัยบางประการได้ เช่น การลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน, การลงทุนในตราสาร DR สามารถได้รับประโยชน์จากเงินปันผล ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา บริษัทจดทะเบียนสิงคโปร์มีการจ่ายปันผลที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับการเติบโตของรายได้
“ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ มีความยินดีที่จะเป็นพันธมิตรกับนักลงทุนไทยทุกคน ดังนั้น อย่าลังเลที่จะติดต่อเราเพื่อสอบถามข้อมูลและหาโอกาสในการลงทุนเพิ่มเติม” บลิส ชาง กล่าว
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ พร้อมที่จะนำเสนอหุ้นที่มีความน่าสนใจให้นักลงทุนไทยเพิ่มอีกมาก โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในตลาด หรือคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของดัชนี โดยมีการเติบโตของรายได้ที่สูงอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอีกด้วย พร้อมกับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงถึง 6%
บลิส ชาง ชี้ให้เห็นว่า ธนาคารหลัก 3 แห่งในสิงคโปร์ ได้แก่ ธนาคาร United Overseas Bank (UOB), ธนาคาร Oversea Chinese Banking Corp. Ltd. (OCBC) และธนาคาร DBS Bank Ltd. (DBS) มีผลตอบแทนในแง่ของราคามากกว่า S&P500 และหากรวมการจ่ายเงินปันผล พบว่าให้ผลตอบแทนรวมทั้งหมดถึง 50% ใน 3 ปี และให้ผลตอบแทนถึง 100% ใน 10 ปีย้อนหลัง ซึ่งมองว่าจะสามารถสร้างความน่าสนใจสำหรับนักลงทุนไทยได้
ขณะเดียวกัน กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ในสิงคโปร์ก็มีความน่าสนใจเช่นกัน
จากเป็น REIT ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) ทั้งในด้านของมูลค่าหลักทรัพย์ และ Turnover จากสินทรัพย์ที่แข็งแกร่งหลายประเภท เช่น โลจิสติกส์, โรงแรม, ดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นต้น ซึ่งในสิงคโปร์นั้น การลงทุนใน REIT ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก
ในช่วงที่ผ่านมานั้น นักลงทุนสิงคโปร์สนใจหุ้นไทยอย่างมาก จาก DR จำนวน 3 หลักทรัพย์ ที่เปิดให้ซื้อขายในปีที่แล้ว ได้แก่ CPALL, AOT และ PTTEP สะท้อนจากกระแสเงินลงทุนซื้อสุทธิที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เป็นบริษัทขนาดใหญ่ และมีธุรกิจผูกขาดในประเทศ จึงสามารถสร้างความสนใจให้นักลงทุนได้อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์จะขยายความร่วมมือนี้กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต่อไป ล่าสุด ได้เปิดให้ซื้อขายหุ้นไทยเพิ่มอีก 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ KBANK, SCC, DELTA, GULF และ ADVANC ทำให้ปัจจุบันมี DR จากประเทศไทยทั้งหมด 8 หลักทรัพย์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์
สิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ได้ดำเนินการมาจนถึงปัจจุบัน คือการนำหุ้นที่เป็นผู้นำของกลุ่มอุตสาหกรรมหลักใน SET50 เข้ามาให้ซื้อขาย โดยในระยะถัดไปมีความสนใจที่จะนำหุ้นในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีศักยภาพเข้ามาจดทะเบียนเป็น DR เพิ่มเติม เช่น หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ (Healthcare) ที่กำลังเติบโตได้ดีในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
“ฉันคิดว่าเราจะได้เห็นการเติบโตของจำนวนนักลงทุน ทั้งจากการรับรู้ การศึกษาเพิ่มเติม เพื่อความเข้าใจต่อบริษัทจดทะเบียนไทย ตลอดจนเศรษฐกิจของประเทศไทย” บลิส ชาง กล่าว
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้