บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น EURO ประเดิมเข้าซื้อขายหุ้นไอพีโอเป็นบริษัทแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ปี 2567 ในวันวาเลนไทน์ 14 ก.พ. 67 โดยเป็นผู้จัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านแบรนด์ชั้นนำระดับ Luxury โดยเน้นแบรนด์จากอิตาลี ภายใต้ชื่อร้าน “Euro Creations” และร้านภายใต้แบรนด์อื่นๆ
เปิดตลาดช่วงเช้า ราคาหุ้น EURO อยู่ที่ 9.70 บาท ลดลง 0.90 บาท หรือ -8.49% จากราคาไอพีโอที่ 10.60 บาท ด้านผู้บริหารมั่นใจพื้นฐานธุรกิจ และสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เล็งนำแบรนด์อิตาลีเสริมพอร์ต พร้อมตั้งเป้ารายได้โตเฉลี่ย 10-20% ต่อปี
เควิน กัมบีร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น EURO เปิดเผยว่า สำหรับราคาหุ้นวันนี้ มองว่าสิ่งที่บริษัทต้องทำต่อไปคือการให้ความรู้กับรายย่อยมากขึ้นว่าธุรกิจนี้คืออะไร เชื่อว่าหลายๆ คนยังไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจ Luxury สังเกตได้จากนักลงทุนที่ติดตามหุ้นเราส่วนใหญ่เป็นลูกค้าของเรา หรือกลุ่ม “High net worth” ที่ค่อนข้างเข้าใจธุรกิจเรา ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ก็ได้มีการตั้งเป้าหมายของราคาหุ้นไว้ ซึ่งมองว่าค่อนข้างสะท้อนต่อความเป็นจริง
สำหรับตลาดสินค้ากลุ่ม Luxury ในประเทศไทย มองว่าถูกผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจน้อยเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ และในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนอย่างปีนี้ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ยังมีกำลังซื้อในระดับสูงและต่อเนื่อง โดยมียอดขายต่อบิลสูงถึงหลักแสนบาท ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการทำตลาด ขณะเดียวกันก็สามารถสะท้อนได้จากกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่หันมาพัฒนาโครงการระดับบนมากขึ้นในปัจจุบัน
“เรามีความมั่นใจในธุรกิจเราเอง และทางครอบครัวยังถือหุ้นอยู่ 75% ถ้าเราไม่มั่นใจ เราคงไม่ถือยาวๆ และมี Silent Period 1 ปีด้วยซ้ำ เราจะขับเคลื่อนธุรกิจนี้ให้ไปด้วยดีในระยะยาว ขอให้นักลงทุนมั่นใจได้” เควิน กล่าว
เควิน กัมบีร์ กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตที่ระดับ 10-20% ต่อปี โดยในปี 2567 นั้น รายได้จะสามารถเติบโตได้จากลูกค้าที่สร้างบ้านใหม่ที่เพิ่มขึ้น พร้อมรับรู้รายได้รับล่วงหน้า (Backlog) จากลูกค้าที่ซื้อของแล้วและรอส่ง เบื้องต้นมีประมาณ 400 ล้านบาท ขณะที่ใน 3 ไตรมาสแรกของปี 2566 ก็สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งจะประกาศผลประกอบการในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า
สำหรับแผนการขยายสาขาหลังระดมทุนนั้น บริษัทจะลงทุนก่อสร้างโชว์รูมใหม่ 3 แห่ง ในทำเลทองหล่อและภูเก็ต ซึ่งจะทำให้บริษัทขยายฐานลูกค้าและเข้าไปอยู่ใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง พร้อมกันนี้ บริษัทเตรียมนำแบรนด์ใหม่ 1 แบรนด์จากอิตาลี เข้ามาจำหน่ายในสาขาใหม่ช่วงกลางปี 2567 นี้ด้วย เพื่อขยายช่วงราคาสินค้าให้กว้างมากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังโฟกัสในกลุ่มลูกค้าหลักที่เป็นรายย่อย (B2C) ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ที่ระดับ 70% พร้อมหาโอกาสในการขยายบางกลุ่มผลิตภัณฑ์ไปยังลูกค้าในกลุ่ม B2B เพื่อสร้างการเติบโตของรายได้ เช่น ฟิตเนส, คอนโดมิเนียม และโรงแรม
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้