บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือหุ้น BCP แจ้งผลประกอบการต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า สำหรับไตรมาส 3/66 กลุ่มบริษัทบางจาก มีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา 39 ปี อยู่ที่ 11,011 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 100% จากไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 7.91 บาท โดยกลุ่มบริษัทบางจากมีรายได้จากการขายและการให้บริการ 94,528 ล้านบาท โต 39% จากไตรมาสก่อน และโต 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมี EBITDA 13,813 ล้านบาท ในไตรมาสนี้
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากความกังวลอุปทานน้ำมันดิบโลกตึงตัว หลังจากซาอุดีอาระเบียมีมาตรการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ รวมถึงรัสเซียได้ประกาศขยายระยะเวลาลดการส่งออกน้ำมันดิบไปจนถึงสิ้นปี 2566 ส่งผลให้กลุ่มบริษัทบางจาก มี Inventory Gain 3,598 ล้านบาท อีกทั้ง Crack Spread ของกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักที่ปรับตัวดีขึ้น และสัดส่วนผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (Product Yield) ที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ค่าการกลั่นพื้นฐานในไตรมาส 3/66 ของบริษัทเติบโตสูงถึง 14.67 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล สูงกว่าค่าการกลั่นในตลาดสิงคโปร์ที่ 9.60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ประกอบกับปริมาณการจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติและกลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่มีการรับรู้การผลิตไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในประเทศ สปป. ลาว ได้เต็มไตรมาส อีกทั้งการรับรู้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐฯ ที่ถือเป็นส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ Hamilton Liberty และโครงการ Patriot ในเดือนกรกฎาคม 2566
นอกจากนี้บริษัทฯ ได้มีการรับรู้ผลการดำเนินงานของเอสโซ่ (ประเทศไทย) ในสัดส่วนร้อยละ 76.34 ในงบการเงินรวมของบริษัทฯ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2566 ตามที่กล่าวไปข้างต้น โดยมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการต่อรองราคาซื้อที่เกิดจากการประเมินมูลค่ายุติธรรมของทรัพย์สิน (PPA) จำนวน 7,389 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2566 กลุ่มบริษัทบางจาก มีรายได้จากการขายและการให้บริการ 242,931 ล้านบาท เติบโต 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมี EBITDA 31,433 ล้านบาท ลดลง 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและการค้าน้ำมัน ได้รับปัจจัยกดดันจาก Operating GRM ที่ลดลงในช่วงครึ่งปีแรกของปี จากราคาน้ำมันที่ปรับลดลงภายหลังความกังวลต่ออุปทานตึงตัวจากสงครามรัสเซียกับยูเครนผ่อนคลาย ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่งผลให้ธุรกิจโรงกลั่นมีผลการดำเนินงานปรับลดลง
อย่างไรก็ดี จากการที่กลุ่มบริษัทบางจากได้มีการลงทุนและขยายธุรกิจส่วนอื่นๆ ที่มีศักยภาพเพิ่มขึ้น อาทิ การเข้าซื้อสัดส่วนการลงทุนจาก Wintershall Dea ซึ่งช่วยหนุนให้ธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติ 4 แห่งในสหรัฐฯ (Carrol County, South Field, Hamilton Liberty & Patriot) ของกลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 66 บริษัทฯ ได้ประกาศการปิดดีลครั้งประวัติศาสตร์จากความสำเร็จในการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จาก ExxonMobil Asia Holdings Pte. Ltd. และจากการยื่นคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ รวมการถือหุ้นร้อยละ 76.34 ส่งผลให้บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ และเริ่มมีการรับรู้ผลการดำเนินงานของเอสโซ่ (ประเทศไทย) ในงบการเงินรวมของบางจากตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 66 เป็นต้นมา ส่งผลให้มีกำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 14,210 ล้านบาท เติบโต 17% จากปีก่อน คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 10.09 บาท
ทั้งนี้ ภายหลังบริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 66 บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท ที่ระดับ “A” สะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อความเเข็งแกร่งของฐานะทางการเงินในการเข้าซื้อหุ้นของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งนับเป็นประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญสำหรับทั้งอุตสาหกรรมพลังงานของประเทศและสำหรับบริษัทฯ สอดคล้องกับกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน เสริมสร้างจุดยืนที่แข็งแกร่งและช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและธุรกิจการตลาดของบริษัทที่มีการบูรณาการเป็นหนึ่งเดียวให้กับกลุ่มบริษัทบางจาก
นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 4/66 ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มทรงตัว โดยมีปัจจัยหนุนมาจากความกังวลเรื่องสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ประกอบกับอุปสงค์น้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นหลังเข้าสู่ฤดูหนาว อย่างไรก็ตามค่าการกลั่นยังมีปัจจัยกดดันจากความไม่แน่นอนของอุปสงค์น้ำมัน ท่ามกลางการชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อทั่วโลก โดยเฉพาะการฟื้นตัวของอุปสงค์ในจีนที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะมีผลทำให้การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปของจีนเพิ่มขึ้น ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญในการติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อปรับแผนธุรกิจให้เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง