ตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าการซื้อขายปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง นั่นเป็นสัญญาณของความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทยที่นักลงทุนชะลอการเข้าลงทุนหรือไม่ และจะมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการให้ตัดสินใจชะลอเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์หรือไม่
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ให้ความเห็นกับ #ThairathMoney ว่า บริษัทที่ต้องการเข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ส่วนใหญ่ได้มีการเตรียมตัวซึ่งใช้เวลาอยู่ที่ประมาณ 3 ปี และเมื่อถึงจุดที่สามารถระดมทุนได้แล้ว บริษัทส่วนใหญ่ก็เดินหน้าตามแผน แต่ก็สามารถขอเลื่อนกำหนดการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ออกไปได้ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้
ทั้งนี้ ในปี 2566 คาดว่าจะมีบริษัทที่จะยื่นหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) เพื่อเสนอขายหุ้นไอพีโอ และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จำนวนมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา จากค่าเฉลี่ย 5-8 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ประมาณ 15-20 บริษัทต่อปี
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ช่วงนี้ภาวะของตลาดหุ้นไทยมีปริมาณการซื้อขายเบาบางลง เป็นสิ่งที่สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนหรือไม่นั้น นายประพันธ์ มองว่า เป็นเรื่องปกติของภาวะตลาดหุ้นที่มีขึ้นมีลงอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี วันนี้มีการเปิดการซื้อขายวันแรก ของบริษัท ทีบีเอ็น คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TBN ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในกลุ่มเทคโนโลยี ดำเนินธุรกิจให้บริการออกแบบและพัฒนาระบบดิจิทัลแบบครบวงจร ด้วยซอฟต์แวร์ Low Code ของ MENDIX ซึ่งมีความเร็วและประสิทธิภาพสูง โดยมองว่าราคาหุ้นช่วงเปิดการซื้อขายที่ปรับตัวขึ้นไปแรงนั้น มาจากนักลงทุนที่มองว่าธุรกิจนี้ก็มีโอกาสเติบโตสูง
ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นของ บมจ.ทีบีเอ็น คอร์เปอเรชั่น หรือ TBN ในช่วงเปิดการซื้อขายบวกแรง 62% มาอยู่ที่ 27.50 บาท จากราคาเสนอขายไอพีโอที่ 17 บาท ก่อนปิดตลาดวันนี้ที่ราคา 42.50 บาท พุ่งขึ้นถึง 150% โดยบริษัทเป็นผู้ให้บริการออกแบบและพัฒนาระบบดิจิทัล และเป็นตัวแทนจำหน่ายลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ MENDIX รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย
นายปนายุ ศิริกระจ่างศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีบีเอ็น คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ราคาหุ้นในช่วงเปิดการซื้อขายวันนี้ ถือว่าปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับที่ดี จากนักลงทุนให้ความสนใจจำนวนมาก โดยจะมุ่งมั่นพัฒนาและสร้างฐานรายได้ประจำเพื่อให้สามารถเติบโตอย่างมั่นคง
ขณะเดียวกัน บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้ไว้ที่ 450-460 ล้านบาท หรือเติบโตจากปีก่อน 30-40% โดยมียอดขายรอรับรู้ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 1/66 ราว 300 ล้านบาท จะทยอยรับรู้ภายในปี 2566-2567 ซึ่งมองว่าตลาดของ Low code มีโอกาสการเติบโตอีกมาก จากความต้องการระบบไอทีทั้งในไทยและในภูมิภาคสูง เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงองค์กรไปสู่ยุคดิจิทัล
นอกจากนี้ มองว่าอุตสาหกรรมของการให้บริการ Low code ในประเทศไทย สามารถเติบโตขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากสามารถสร้างบุคลากรด้านนี้ในประเทศได้จำนวนมาก ก็มีโอกาสที่จะเป็นจุดแข็งของประเทศไทยและขยายไปสู่ประเทศอื่นในภูมิภาคได้
สำหรับวัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้ จะนำไปใช้เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจ รวมถึงการเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะด้านการพัฒนาและเพิ่มจำนวนบุคลากร เพื่อรองรับการขยายงานเพิ่มเติมในอนาคต.