การทำศัลยกรรมเพื่อความงามเป็นที่นิยมมากขึ้น ทั้งหน้า คิ้ว จมูก ซึ่งเทรนด์ของปัจจุบันผู้คนมักจะทำศัลยกรรมซ้ำเพื่ออัปเดตให้สวยงามเข้ากับยุคสมัยตลอดเวลา ทำให้เป็นโอกาสของธุรกิจโรงพยาบาลศัลยกรรมให้เติบโตอย่างต่อเนื่องได้ โดยล่าสุด บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER โรงพยาบาลด้านศัลยกรรมเสริมความงาม ภายใต้แบรนด์ โรงพยาบาลมาสเตอร์พีซ “Masterpiece Hospital” อยู่ในกระแสของการเติบโตดังกล่าว
โดยล่าสุด MASTER กำลังจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ mai โดยมีการเสนอขายหุ้น ไม่เกิน 65 ล้านหุ้น คิดเป็น 27.08% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครังนี้ คาดว่าจะเข้าระดมทุนได้ภายในต้นปี 2566
MASTER ประกอบกิจการสถานพยาบาลด้านความงามที่ให้บริการศัลยกรรมครบวงจร โดยมีความโดดเด่นในเรื่องวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ทันสมัยและได้รับมาตรฐานระดับสากล โดย ณ วันที่ 30 ก.ย. 2565 โรงพยาบาลมาสเตอร์พีซมีแพทย์ 41 ท่าน บุคลากร 533 คน และพื้นที่ให้บริการ 4,267 ตารางเมตร ลักษณะการให้บริการและขายผลิตภัณฑ์สามารถแบ่งเป็น 4 ส่วน 1 บริการด้านศัลยกรรม (Surgery) บริการปลูกผมและดูแลเส้นผม (Hair Transplants and Hair Treatment) 3 บริการดูแลผิวพรรณ (Skin) 4 ขายผลิตภัณฑ์หรือให้บริการหลังศัลยกรรม (Product Sales and Aftercare)
ความโดดเด่นของ MASTER คือการเติบโตของกำไรที่อยู่ในระดับสูงมาก โดยจากข้อมูลพบว่า มีกำไรสุทธิ ในปี 2562–2564 และ 9 เดือนแรกของปี 2565 บริษัท มีกำไรสุทธิ 61.25 ล้านบาท 128.55 ล้านบาท 162.80 ล้านบาท และ 222.22 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในขณะเดียวกันความสามารถในการทำกำไรก็อยู่ในระดับที่สูง โดยล่าสุดใน 9 เดือนแรกของปี 2565 อยู่ที่ 21.86 %
สัดส่วนรายได้หลักของ MASTER นั้นจะมาจากการทำ Surgery หรือศัลยกรรมสามารถแบ่งออกเป็น 8 ประเภท ได้แก่ เสริมจมูก ตา ยกคิ้ว ยกหางตา ดึงหน้าผาก ทำหน้าอก ดูดไขมันและแก้ไขรูปร่างศัลยกรรมตัดหนังหน้าท้อง ศัลยกรรมปรับโครงสร้างใบหน้า และศัลยกรรมอื่น ซึ่งในฝั่งของการทำศัลยกรรมนั้น MASTER นับเป็นระดับชั้นนำของประเทศไทย
ตลาดศัลยกรรมไทยไม่แพ้เกาหลี
นางสาวลภัสรดา เลิศภานุโรจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเตอร์ สไตล์ จำกัด (มหาชน) หรือ MASTER เปิดเผยว่า ศัลยกรรมของประเทศไทยเมื่อเทียบกับประเทศยอดนิยมด้านการทำศัลยกรรมอย่างเกาหลีใต้ มองว่าในด้านมาตรฐานเราอยู่ในระดับเดียวกัน โดยที่ผ่านมา คนไทยนิยมไปทำศัลยกรรมในเกาหลีใต้ เกิดจาเอเจนซี่ที่ชักชวน แต่ในกฎกระทรวงฉบับใหม่ที่ออกมา ไม่มีห้ามไม่ให้ทำแล้ว
ดังนั้นทำให้ผู้ที่ต้องการไปทำศัลยกรรมต่างประเทศไปในลักษณะหลบๆ ซ่อนๆ และเมื่อลูกค้าเดินทางไปทำศัลยกรรมในเกาหลีตามคำชวนของเอเจนซี่ เราไม่รู้เลยว่าคลินิกไหนหมอดังหรือมีชื่อเสียงตามที่กล่าวอ้างหรือไม่ และสิ่งที่โรงพยาบาลพบ คือ ผู้ที่ทำศัลยกรรมในต่างประเทศก็มีปัญหาและกลับมาแก้งานในไทยเยอะมากเพียงแต่ไม่มีใครกล้าที่จะพูด ซึ่งในด้านราคาของทั้ง 2 ประเทศก็ไม่ต่างกัน
ทั้งนี้ ตลาดศัลยกรรมของในประเทศไทยยังเติบโตได้ดี โดยเฉพาะในตลาด Surgery หรือการทำศัลยกรรม โดยความโดดเด่นของการให้บริการกลุ่มนี้คือ มีอัตรากำไรที่สูงมากเมื่อเทียบกับการให้บริการด้านการดูแลผิวพรรณ
“กลุ่มตลาด Surgery นั้นมีอัตรากำไรที่ดีมาก เมื่อเทียบกับกลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นที่มีการแข่งขันรุนแรง อย่างการฉีดโบท็อกซ์ ลูกค้าสามารถหาข้อมูลว่าฉีดที่ไหนถูกที่สุด ทั้งที่ทุกคลินิกใช้ยาตัวเดียวกัน ทำให้การแข่งขันรุนแรง แต่ในด้าน Surgery เหมือนกับงานศิลปะที่การแข่งขันจะน้อยกว่า”
การทำศัลยกรรมนั้นขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของลูกค้า เช่น การเสริมจมูก จะมีดีไซน์ให้เลือกขึ้นอยู่กับแต่ละคน ดังนั้นในด้านอุปกรณ์หรือแบรนด์สินค้าไม่เกี่ยวกับการพิจารณาการตัดสินใจทำของลูกค้า โดยปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าเข้ามาทำศัลยกรรมจมูกยังเป็นอันดับ 1 และการทำศัลยกรรม ยกคิ้ว ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 2
เมื่อศัลยกรรมทำแล้วมักกลับมาทำอีก
ในด้านการทำศัลยกรรมมีการทำศัลยกรรมซ้ำบ่อยขึ้น โดยในกลุ่มลูกค้านั้นจะมีการทำที่ 1 แล้วต่อด้วยจุดที่ 2 เช่น ลูกค้าเริ่มต้นจากการศัลยกรรมตา ก็มักจะต่อด้วยทำจมูก และทำปาก จะเห็นได้ว่าลูกค้า 1 คนส่งต่อไปยังหลายโปรดักต์ และด้วยเทรนด์ของแฟชั่นที่เปลี่ยนไปก็มีการทำศัลยกรรมซ้ำในจุดเดิมมากขึ้น เช่น การทำศัลยกรรมหน้าอก ในช่วง 2-3 ปีก่อน ผู้ที่ทำหน้าอกก็มักจะทำไซส์ที่ใหญ่เพื่อให้รู้ว่าตนทำหน้าอกมา
แต่ในปัจจุบัน เทรนด์ของผู้ต้องการทำหน้าอกต้องการเป็นธรรมชาติมากขึ้น จึงมีอัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำของลูกค้ามากขึ้น หรือในฝั่งของการทำศัลยกรรมจมูก อดีตลูกค้าจะทำสไตล์ฝรั่งต้องเป็นสันที่ชัดเจน แต่ตอนนี้คนเริ่มทำจมูกสไตล์เกาหลีมากขึ้นก็เกิดภาวะการเปลี่ยนซีรีส์ใหม่ หรือการดูดไขมัน การกลับมาดูดใหม่เกิดขึ้นอีกแน่นอน หากยังไม่พอใจ ดังนั้นจึงเกิดการกลับมาทำซ้ำมากขึ้น
ในด้านการรอคิวการทำศัลยกรรมนั้นไม่นานมากนัก โดยปัจจุบันมีคุณหมอให้บริการ 41 คน มีหมอทำจมูก 8 คน ถ้าลูกค้าไม่ได้ต้องการทำจมูกในคุณหมอที่เป็นที่นิยม ทางบริษัทสามารถจัดคิวให้ทำศัลยกรรมได้ภายใน 1 เดือน และหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วในช่วงเดือน พ.ค. 66 จะมีการขยายห้อง อีก 1 เท่าตัว ทำให้การจัดคิวทำศัลยกรรมมีความรวดเร็วมากขึ้น
ทั้งนี้ในมุมของบริษัท ข้อดีของกลุ่ม Surgery คือ การรับรู้รายได้ที่รับรู้ทันทีเมื่อมีการลงมีดหรือการทำศัลยกรรมซึ่งแตกต่างจากการฉีดผิว หรือการขายคอร์ส ที่จะรับรู้รายได้เป็นรายครั้งเมื่อลูกค้ามาใช้บริการ ไม่มีปัญหาด้านการบันทึกบัญชี
สำหรับการเติบโตหลังจากการเข้าระดมทุน ตลาดหลักทรัพย์ มองว่า การเติบโตยังอยู่ในระดับที่สูงต่อเนื่อง อย่างที่เคยเป็นมา และเป็นการเติบโตแบบออร์แกนิกบนพื้นฐานของโรงพยาบาลศัลยกรรม ซึ่งหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์เรายังเชื่อว่าจะรักษาการเติบโตเทียบเท่ากับก่อนหน้าเข้าตลาดหุ้นได้