สัปดาห์ที่ผ่านมาถือเป็น สัปดาห์แห่งความหายนะ ของ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และ ตลาด Cryptocurrency โดยเฉพาะ Bitcoin ปิดตลาดหุ้นสหรัฐฯ วันศุกร์ ดัชนีหุ้น S&P 500 ซึ่งมีมูลค่าตลาดกว่า 42.4 ล้านล้านดอลลาร์ หายไปกว่า 5.7% เป็นมูลค่ากว่า 2.41 ล้านล้านดอลลาร์ ดัชนีหุ้น Nasdaq มูลค่าตลาดกว่า 19.4 ล้านล้าน ดอลลาร์ ก็หายไปกว่า 7.6% เป็นมูลค่ากว่า 1.47 ล้านล้านดอลลาร์ ดัชนีหุ้น Dow Jones มูลค่าตลาดกว่า 10.84 ล้านล้านดอลลาร์ ก็หายไปกว่า 4.6% เป็นมูลค่ากว่า 5 แสนล้านดอลลาร์
ตลาดเงินดิจิทัล Cryptocurrency มูลค่าตลาดกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ ก็หายไปกว่า 150,000 ล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะ Bitcoin ราคาร่วงไปกว่า 15% บ่ายวันอาทิตย์อยู่ที่ 35,600 กว่าดอลลาร์ จากราคาสูงสุด 69,000 ดอลลาร์ ในเดือนพฤศจิกายน 2564 หายไป 49%
แค่ 5 วันทำการ 17-21 มกราคม ตลาดหุ้นสหรัฐฯเงินหายไปกว่า 4.38 ล้านล้านดอลลาร์ ราว 144.54 ล้านล้านบาท และค่าเงินคริปโทฯก็หายไปกว่า 4.95 ล้านล้านบาท
สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯจะร่วงต่อหรือไม่ คงต้องจับตาดูกันตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพราะจะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมายในตลาดเงินและตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มตั้งแต่ การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ซึ่งจะเริ่มในวันพรุ่งนี้และมะรืนนี้ (ตามเวลาประเทศไทย) นักลงทุนคาดหวังกันว่า เฟดจะมีคำแถลงที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ จะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยเมื่อไหร่ แต่นักเศรษฐศาสตร์ก็คาดการณ์ล่วงหน้าว่า เฟดจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนมีนาคมนี้ เพื่อดับอุณหภูมิเงินเฟ้อที่ร้อนแรงถึง 7% แต่จะขึ้นดอกเบี้ยถึง 4 ครั้งในปีนี้หรือไม่ แวดวงตลาดเงินคาดว่า เฟดอาจจะขึ้นดอกเบี้ยเพียง 3 ครั้งไม่ถึง 4 ครั้ง ถ้าอัตราเงินเฟ้อลดดีกรีลงมา
ในสัปดาห์นี้ยังเป็นสัปดาห์ ประกาศผลประกอบการ ของบริษัท ยักษ์ใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เช่น 3 เอ็มไอบีเอ็ม, อินเทล, แคเทอพิลลาร์, อเมริกันเอ็กซ์เพรส ฯลฯ โดยเฉพาะหุ้นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Microsoft ที่มูลค่าตลาดกว่า 2.22 ล้านล้านดอลลาร์ จะประกาศผลประกอบการวันนี้ Apple มูลค่าตลาดกว่า 2.65 ล้านล้านดอลลาร์ จะประกาศผลประกอบการในวันพฤหัสบดี Tesla มูลค่าตลาดกกว่า 9 แสนล้านดอลลาร์ จะประกาศผลประกอบการในวันพุธ ผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำเหล่านี้ ล้วนมีผลต่อดัชนีหุ้นในสหรัฐฯ หลังจากที่ Netflix ได้สร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุนสัปดาห์ที่แล้ว แจ้งผลประกอบการมียอดสมาชิกใหม่ชะลอตัวลง ส่งผลให้ราคาหุ้น Netflix ดิ่งกว่า 21% และฉุดดัชนีหุ้น ดาวโจนส์ แนสแดกซ์ และ เอสแอนด์พี 500 ดิ่งลงไปด้วย
สัปดาห์นี้นักวิเคราะห์สหรัฐฯยังให้จับตา การประกาศจีดีพีสหรัฐฯไตรมาส 4 ปี 2564 ซึ่งจะประกาศในวันพฤหัสบดีนี้ วันศุกร์จะมีการประกาศ ดัชนีผู้บริโภคและการใช้จ่ายของประชาชน ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯแกว่งตัวตลอดสัปดาห์ ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลไปถึงตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้ง ตลาดหุ้นไทย ด้วย แต่คงมีผลกับตลาดหุ้นไทยไม่มากนัก
แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือ นักลงทุนไทยที่ลงทุนในเงินดิจิทัล Cryptocurrency ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายย่อยหลายล้านบัญชี และเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่ยังขาดประสบการณ์ แต่ลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงสุด วันศุกร์ที่ 21 มกราคม วันเดียว ราคา Bitcoin ร่วงไปกว่า 15% ลงมาอยู่ที่ 35,000 ดอลลาร์ Ether อันดับ 2 ก็ร่วงไปกว่า 20% เหลือ 2,500 ดอลลาร์ มูลค่าตลาดเงินคริปโทฯหายไปทันทีกว่า 150,000 ล้านดอลลาร์ ราว 4.95 ล้านล้านบาท นักลงทุนคริปโทฯเลือดสาดบาดเจ็บกันถ้วนหน้า
สัปดาห์นี้จึงต้องจับตา เศรษฐกิจ การเงิน และตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตาอย่ากะพริบ
การลงทุนมีความเสี่ยง แต่ถ้าลงทุนอย่างฉลาดรอบคอบ มีความรู้ รับรองได้ว่าเพิ่มความมั่งคั่งในระยะยาวได้แน่นอน ซื้อหุ้นตลาดขาลงดีกว่าซื้อหุ้นตลาดขาขึ้นครับ.
“ลม เปลี่ยนทิศ”