บล.บัวหลวงคาด SET Index ปี 65 ลุ้นแตะ 1,800 จุด รับเศรษฐกิจฟื้นแม้มีโอมิครอน กำไรบริษัทจดทะเบียนขยายตัว แม้ระหว่างทางดัชนีอาจผันผวน
เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 64 นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนตลอดปี 2564 ที่ผ่านมาว่า ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนราว 13% ต่อปี เมื่อเทียบกับปี 63 ที่ติดลบ 9.13%
ขณะที่มูลค่าการซื้อขายหุ้นเฉลี่ยต่อวันสูงขึ้นแตะระดับ 80,000-100,000 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนหน้าที่อยู่ 50,000 ล้านบาท หนุนด้วยปัจจัยภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกที่เริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนดีกว่าปี 2563
ส่วนยอดเปิดบัญชีใหม่เพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ ก็มีตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนจากยอดเปิดบัญชีใหม่ที่ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากคนรุ่นใหม่หันมาสนใจเรื่องการลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคน Gen Y และ Gen Z
ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำยาวนานหลายปี บวกกับมาตรการ Work From Home ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ต้องทำงานและเรียนหนังสืออยู่ที่บ้าน ส่งผลให้มีเวลาว่างมากขึ้น หลายคนจึงแบ่งเงินออมมาลงทุน เพื่อหาโอกาสเพิ่มผลตอบแทนที่มากกว่าฝากเงินรับดอกเบี้ย
นายชัยพร กล่าวอีกว่า สำหรับทิศทางปี 2565 มองเป้าหมายดัชนีสิ้นปีหน้า มีโอกาสปรับตัวขึ้นไปใกล้ระดับ 1,800 จุด ส่วนแนวรับและแนวต้านระยะสั้นอาจอยู่ 1,580 จุด และ 1,650 จุด ตามลำดับ
ขณะที่อัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ P/E ในปี 65 เราคาดการณ์ที่ 18 เท่า ส่วนกำไรต่อหุ้น หรือ EPS อยู่ที่ 98 บาทต่อหุ้น ตามลำดับ โดยเรามองสูงกว่าค่าเฉลี่ยนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ 96 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด และประกาศล็อกดาวน์ที่อยู่ประมาณ 86 บาทต่อหุ้นในปี 2562
ทั้งนี้ เนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจภายในประเทศจะขยายตัว 4.1% และกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหุ้นไทยโตต่อเนื่องจากปี 2564 หลังคนได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลให้ภาคท่องเที่ยวกลับมา แม้จะมีสายพันธุ์ใหม่อย่างโอมิครอน ปัจจัยดังกล่าวจะหนุนให้เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้ามา
แม้ดัชนีอาจมีความผันผวน เพราะยังต้องเผชิญแรงกดดันหลายเรื่อง เช่น คณะกรรมการกำกับนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) คาดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งในปี 2565 เพื่อชะลออัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ในปัจจุบันอยู่สูงกว่าระดับเป้าหมายที่ 2%
ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.64 คณะกรรมการมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ 0.00-0.25% และเพิ่มการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) จากเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเดือนละ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มตั้งแต่เดือนม.ค. 65
นอกจากนั้นยังมีเรื่องเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน, การแพร่ระบาดของโอมิครอน การเลือกตั้งกลางสมัยของสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในเดือนพ.ย.2565, ประเทศยุโรปอาจปรับเพิ่มดอกเบี้ยช่วงครึ่งหลังปี 2565 และบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของประเทศจีนที่ขาดสภาพคล่องทางการเงิน เป็นต้น
ปัจจัยทั้งหมดล้วนทำให้กระแสเงินไหลเข้าออกภูมิภาคอาเซียนและเกิดการผันผวนมากขึ้น ฉะนั้นนักลงทุนอาจต้องจับตาเรื่องเหล่านี้ต่อเนื่อง เพื่อจะได้ปรับแผนการลงทุนได้ทันเหตุการณ์
กลยุทธ์ลงทุนปี 65 ควรกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ต่างๆ
นายชัยพร กล่าวต่อว่า กลยุทธ์ลงทุนในปี 2565 แนะกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อให้พอร์ตมีความสมดุล ยืดหยุ่น และรับมือกับดัชนีที่อาจปรับตัวขึ้นลงในปีหน้า โดยให้แบ่งสัดส่วนลงทุนใน ทองคำ 10%, กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือ Property Fund และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIT 10%, ตราสารหนี้ 10%, เงินสด 5%,
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้น แนะให้ลงทุนในสัดส่วน 65% เน้นกระจายตัวในหุ้นไทย 12% หุ้นเวียดนาม 17% หุ้นสหรัฐฯ 22% ที่เหลือลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นและจีน
สำหรับกลุ่มหุ้นเด่น ที่ต้องมีติดพอร์ตก่อนปี 2565 คือ 1. กลุ่มการบริโภค เพราะราคาหุ้นกลุ่มนี้ยังปรับตัวขึ้นไม่มาก เมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน นอกจากนั้นยังได้รับประโยชน์จากการจับจ่ายใช้สอยที่คาดว่าจะสูงขึ้น โดยเฉพาะหุ้น CRC, CBG และ CPALL
2. กลุ่มสถาบันการเงิน คาดว่าได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2565 และอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นทั่วโลก แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะพยายามคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับต่ำจนกระทั่งไตรมาสสุดท้ายปี 2565
3. กลุ่มด้านเทคโนโลยี Platform, การบริหารข้อมูลด้านการตลาด และการบริหารความเสี่ยง ซึ่งปัจจุบันมีความจำเป็นมากขึ้น จากการแข่งขันที่สูงในภาวะตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
4. กลุ่มที่เคลื่อนไหวไปตามสถานการณ์โควิด-19 เช่น กลุ่มโรงพยาบาล และอุปกรณ์การแพทย์ แต่ที่ผ่านมาราคาปรับขึ้นต่อเนื่อง เราแนะคงสัดส่วนการลงทุนไว้เช่นเดิม เช่นเดียวกับ
5. กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี มองว่า ราคาน้ำมันดิบอาจไปได้ไม่ไกล หลังรัฐบาลทั่วโลกลงนามสนธิสัญญาลดคาร์บอนโดยราคาน้ำมันดิบปี 2565 อาจเฉลี่ยราว 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
6. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แนะเพิ่มสัดส่วน เพราะได้ประโยชน์จากการผ่อนคลายมาตรการ และสนับสนุนการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐ อย่างไรก็ดีแนะให้ลดสัดส่วนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แม้จะได้แรงหนุน จากเทรนด์ Metaverse และในปีหน้ากำไรขยายตัวต่อ แต่ปัจจุบันราคา Upside เหลือน้อยแล้ว จากมูลค่าที่ค่อนข้างแพงมาก