บัวหลวงคาด SET Index ปี 65 ลุ้นแตะ 1,800 จุด รับเศรษฐกิจฟื้นแม้มีโอมิครอน

Investment

Stocks

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

บัวหลวงคาด SET Index ปี 65 ลุ้นแตะ 1,800 จุด รับเศรษฐกิจฟื้นแม้มีโอมิครอน

Date Time: 22 ธ.ค. 2564 16:39 น.

Video

ทางรอดเศรษฐกิจไทยในยุค AI ครองโลก | 1st Anniversary Thairath Money

Summary

  • บล.บัวหลวงคาด SET Index ปี 65 ลุ้นแตะ 1,800 จุด รับเศรษฐกิจฟื้นแม้มีโอมิครอน กำไรบริษัทจดทะเบียนขยายตัว แม้ระหว่างทางดัชนีอาจผันผวน

Latest


บล.บัวหลวงคาด SET Index ปี 65 ลุ้นแตะ 1,800 จุด รับเศรษฐกิจฟื้นแม้มีโอมิครอน กำไรบริษัทจดทะเบียนขยายตัว แม้ระหว่างทางดัชนีอาจผันผวน

เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 64 นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนตลอดปี 2564 ที่ผ่านมาว่า ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนราว 13% ต่อปี เมื่อเทียบกับปี 63 ที่ติดลบ 9.13%

ขณะที่มูลค่าการซื้อขายหุ้นเฉลี่ยต่อวันสูงขึ้นแตะระดับ 80,000-100,000 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนหน้าที่อยู่ 50,000 ล้านบาท หนุนด้วยปัจจัยภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกที่เริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนดีกว่าปี 2563

ส่วนยอดเปิดบัญชีใหม่เพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ ก็มีตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนจากยอดเปิดบัญชีใหม่ที่ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากคนรุ่นใหม่หันมาสนใจเรื่องการลงทุนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคน Gen Y และ Gen Z

ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำยาวนานหลายปี บวกกับมาตรการ Work From Home ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ต้องทำงานและเรียนหนังสืออยู่ที่บ้าน ส่งผลให้มีเวลาว่างมากขึ้น หลายคนจึงแบ่งเงินออมมาลงทุน เพื่อหาโอกาสเพิ่มผลตอบแทนที่มากกว่าฝากเงินรับดอกเบี้ย

นายชัยพร กล่าวอีกว่า สำหรับทิศทางปี 2565 มองเป้าหมายดัชนีสิ้นปีหน้า มีโอกาสปรับตัวขึ้นไปใกล้ระดับ 1,800 จุด ส่วนแนวรับและแนวต้านระยะสั้นอาจอยู่ 1,580 จุด และ 1,650 จุด ตามลำดับ

ขณะที่อัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ P/E ในปี 65 เราคาดการณ์ที่ 18 เท่า ส่วนกำไรต่อหุ้น หรือ EPS อยู่ที่ 98 บาทต่อหุ้น ตามลำดับ โดยเรามองสูงกว่าค่าเฉลี่ยนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ 96 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด และประกาศล็อกดาวน์ที่อยู่ประมาณ 86 บาทต่อหุ้นในปี 2562

ทั้งนี้ เนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจภายในประเทศจะขยายตัว 4.1% และกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหุ้นไทยโตต่อเนื่องจากปี 2564 หลังคนได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลให้ภาคท่องเที่ยวกลับมา แม้จะมีสายพันธุ์ใหม่อย่างโอมิครอน ปัจจัยดังกล่าวจะหนุนให้เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศไหลเข้ามา

แม้ดัชนีอาจมีความผันผวน เพราะยังต้องเผชิญแรงกดดันหลายเรื่อง เช่น คณะกรรมการกำกับนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) คาดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งในปี 2565 เพื่อชะลออัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ในปัจจุบันอยู่สูงกว่าระดับเป้าหมายที่ 2%

ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.64 คณะกรรมการมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ 0.00-0.25% และเพิ่มการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) จากเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเดือนละ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มตั้งแต่เดือนม.ค. 65

นอกจากนั้นยังมีเรื่องเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน, การแพร่ระบาดของโอมิครอน การเลือกตั้งกลางสมัยของสหรัฐฯ ที่จะเกิดขึ้นในเดือนพ.ย.2565, ประเทศยุโรปอาจปรับเพิ่มดอกเบี้ยช่วงครึ่งหลังปี 2565 และบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของประเทศจีนที่ขาดสภาพคล่องทางการเงิน เป็นต้น

ปัจจัยทั้งหมดล้วนทำให้กระแสเงินไหลเข้าออกภูมิภาคอาเซียนและเกิดการผันผวนมากขึ้น ฉะนั้นนักลงทุนอาจต้องจับตาเรื่องเหล่านี้ต่อเนื่อง เพื่อจะได้ปรับแผนการลงทุนได้ทันเหตุการณ์

กลยุทธ์ลงทุนปี 65 ควรกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ต่างๆ

นายชัยพร กล่าวต่อว่า กลยุทธ์ลงทุนในปี 2565 แนะกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อให้พอร์ตมีความสมดุล ยืดหยุ่น และรับมือกับดัชนีที่อาจปรับตัวขึ้นลงในปีหน้า โดยให้แบ่งสัดส่วนลงทุนใน ทองคำ 10%, กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือ Property Fund และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIT 10%, ตราสารหนี้ 10%, เงินสด 5%,

ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้น แนะให้ลงทุนในสัดส่วน 65% เน้นกระจายตัวในหุ้นไทย 12% หุ้นเวียดนาม 17% หุ้นสหรัฐฯ 22% ที่เหลือลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นและจีน

สำหรับกลุ่มหุ้นเด่น ที่ต้องมีติดพอร์ตก่อนปี 2565 คือ 1. กลุ่มการบริโภค เพราะราคาหุ้นกลุ่มนี้ยังปรับตัวขึ้นไม่มาก เมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน นอกจากนั้นยังได้รับประโยชน์จากการจับจ่ายใช้สอยที่คาดว่าจะสูงขึ้น โดยเฉพาะหุ้น CRC, CBG และ CPALL

2. กลุ่มสถาบันการเงิน คาดว่าได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2565 และอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นทั่วโลก แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะพยายามคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับต่ำจนกระทั่งไตรมาสสุดท้ายปี 2565

3. กลุ่มด้านเทคโนโลยี Platform, การบริหารข้อมูลด้านการตลาด และการบริหารความเสี่ยง ซึ่งปัจจุบันมีความจำเป็นมากขึ้น จากการแข่งขันที่สูงในภาวะตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

4. กลุ่มที่เคลื่อนไหวไปตามสถานการณ์โควิด-19 เช่น กลุ่มโรงพยาบาล และอุปกรณ์การแพทย์ แต่ที่ผ่านมาราคาปรับขึ้นต่อเนื่อง เราแนะคงสัดส่วนการลงทุนไว้เช่นเดิม เช่นเดียวกับ

5. กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี มองว่า ราคาน้ำมันดิบอาจไปได้ไม่ไกล หลังรัฐบาลทั่วโลกลงนามสนธิสัญญาลดคาร์บอนโดยราคาน้ำมันดิบปี 2565 อาจเฉลี่ยราว 80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

6. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แนะเพิ่มสัดส่วน เพราะได้ประโยชน์จากการผ่อนคลายมาตรการ และสนับสนุนการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐ อย่างไรก็ดีแนะให้ลดสัดส่วนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ แม้จะได้แรงหนุน จากเทรนด์ Metaverse และในปีหน้ากำไรขยายตัวต่อ แต่ปัจจุบันราคา Upside เหลือน้อยแล้ว จากมูลค่าที่ค่อนข้างแพงมาก


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ