เซ็นทรัลพัฒนา เผยไตรมาส 2/64 มีรายได้รวม 6,364 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,269 ล้านบาท พร้อมขยายพอร์ต Super Regional Mall หลังซื้อหุ้นสยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์
วันที่ 10 ส.ค. 64 นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยง บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/64 บริษัทฯ มีรายได้รวม 6,364 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,269 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าช่วงไตรมาสเดียวกันเมื่อปี 63 ที่เป็นช่วงเริ่มต้นการแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศไทย และภาครัฐประกาศล็อกดาวน์ทั่วประเทศ
แม้ว่าในปีปัจจุบันธุรกิจศูนย์การค้า ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ CPN จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกสามที่ยังอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง แต่เรามีแนวทางบริหารความเสี่ยงดังกล่าว โดยนำข้อได้เปรียบในการมีศูนย์การค้ากระจายอยู่ทั่วประเทศ ทำให้บางศูนย์การค้าในต่างจังหวัดยังคงสามารถเปิดให้บริการได้ พร้อมเร่งพัฒนาการบริการรูปแบบใหม่ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า
รวมถึงเปิดโอกาสและสร้างยอดขายให้ร้านค้าได้ ประกอบกับการบริหารจัดการทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ โดยลดและควบคุมต้นทุนในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายต่างๆ รักษาระดับกระแสเงินสดและสภาพคล่องให้เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการทำสัญญาเข้าซื้อหุ้นของ บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ หรือ SF จากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยขยายพอร์ต Super Regional Mall ของบริษัทฯ เพิ่มเป็น 2 แห่ง คือ เซ็นทรัล เวสต์เกต และเมกาบางนา และเติบโตไปพร้อมกับพันธมิตรระดับโลกอย่างอิเกีย รวมทั้งผนึกกำลังธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล เดินหน้าขยายคอมมูนิตี้ มอลล์ต่างๆ และพัฒนาโครงการที่ดินบนทำเล Central Business District หรือ CBD ของกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศอีกด้วย
นางสาวนภารัตน์ กล่าวอีกว่า สำหรับทิศทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของ 64 CPN ยังคงเดินหน้าลงทุนพัฒนา 3 โครงการบิ๊กมิกซ์ยูส ได้แก่ เซ็นทรัล อยุธยา และ เซ็นทรัล ศรีราชา ที่เตรียมเปิดภายในสิ้นปีนี้ และเซ็นทรัล จันทบุรี ที่เตรียมเปิดภายในกลางปี 2565 นอกจากนี้ยังมีโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่ร่วมพัฒนากับบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะทยอยเปิดให้บริการในปี 2566-2567 เป็นต้นไป
สำหรับแผนการลงทุนและเป้าหมายทางธุรกิจในระยะ 5 ปี (2564-2568) บริษัทฯ ได้มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ และเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสม (Mixed-use Development) โครงการที่พักอาศัย รวมถึงแผนการปรับปรุงสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อเพิ่มมูลค่า รวมทั้งบริหารจัดการค่าใช้จ่าย และลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน เพื่อเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน
โดยเรายังคงศึกษาโอกาสการลงทุนธุรกิจในรูปแบบอื่น การเข้าซื้อกิจการ และการลงทุนในต่างประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ มาเลเซีย และเวียดนาม รวมถึงศึกษาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเพื่อขยายช่องทางในการสร้างรายได้ใหม่ และสอดคล้องกับแผนการเติบโตตามเป้าหมายในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน.