ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 5 ก.ค.64 ปิดที่ 1,579.28 จุด เพิ่มขึ้น 0.79 จุด มีมูลค่าซื้อขาย 58,232.61 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 148.09 ล้านบาท
หุ้นไทยชะลอตัวไร้ทิศทาง หลังขาดปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามาหนุน ขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดพุ่งไม่หยุดฉุดมูลค่าการซื้อขายเบาบางลงมาอยู่ที่ 58,156.98 ล้านบาท ต่ำสุดในรอบเกือบ 11 เดือนนับจาก 14 ส.ค.63
ทั้งนี้ มีแรงซื้อเก็งกำไรหุ้นโรงพยาบาลรายตัวหลังโบรกฯมอง หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลสดใส รับประโยชน์การนำเข้าวัคซีนทางเลือก บล.เคจีไอ ประเมินว่า ถ้าการนำเข้าวัคซีนทางเลือกของเอกชนเกิดขึ้นสำเร็จ โรงพยาบาลที่จะได้ประโยชน์ ได้แก่ BCH, BDMS, BH และ CHG
เนื่องจากมีการกระจายตัวของสาขาโรงพยาบาลที่กว้างคือ BCH, BDMS และ CHG และมีกลุ่มลูกค้ารายได้สูง คือ BH ประมาณการเบื้องต้นกำไรส่วนเพิ่มจากวัคซีน Moderna อาจอยู่ในช่วง 2.2-3.4% ยังไม่มีนัยสำคัญต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 64 ยังคงน้ำหนักการลงทุน Overweight กลุ่มโรงพยาบาล โดยมี top picks ได้แก่ BCH ให้ราคาเป้าหมายปี 65 ที่ 23 บาท และ BDMS ราคาเป้าหมาย 26.50 บาท
ส่วน บล.โนมูระพัฒนสิน Bullish หุ้นกลุ่มการแพทย์ เลือก BCH เป็นหุ้นเด่นร่วมกับ BDMS เนื่องจากระยะสั้น 3Q21F ปัญหาการส่งมอบวัคซีน จะส่งกระทบต่ออัตราการฉีดวัคซีนหลักของรัฐบาล ขณะที่ยอดติดเชื้อสูงขึ้น ทำให้ BCH มีปัจจัยบวกจากเป็น รพ. ที่ได้ประโยชน์จากการให้บริการตรวจเชื้อ และมีเตียงรองรับการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อมากสุด
ขณะที่ 2H21F วัคซีนทางเลือกทั้งซิโนฟาร์มและโมเดอร์นา จะมีบทบาทมากขึ้น และวัคซีนโมเดอร์นาของ รพ.เอกชน มีความต้องการสูง ทำให้ประมาณการกำไรปี 22F ของ รพ. อาจเกิด upside ได้อีกจากการฉีดวัคซีนโมเดอร์นามากกว่าสมมติฐานของเรา
บล.เอเซียพลัส มองตลาดระยะสั้น (1-3 เดือน) อาจ Rally ต่อได้จากเศรษฐกิจที่เริ่มปรับตัวสู่ระดับเติบโตปกติ แต่อาจเป็น Short Runway เนื่องจากตลาด Priced In ในเชิงบวกไปพอสมควร ดังนั้นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้พอสมควร ยังคงแนะลงทุนกลุ่ม High Quality Stock แต่นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง ที่แบ่งเงินบางส่วนเข้าไปเก็งกำไรหุ้น High Beta และ High Valuation ให้เริ่ม Take Profit จากภาพเทคนิคที่เริ่มตึงตัว
ส่วนนักลงทุนระยะยาว (6-12 เดือนขึ้นไป) อาศัยจังหวะที่มีความผันผวน ทยอยสะสม Late Cycle Play เช่นหุ้นกลุ่ม Defensive Growth และกลุ่ม Healthcare.
อินเด็กซ์ 51