ดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงลงต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน โดยดัชนี SET ปิดที่ระดับที่ 1,630.12 จุด ลดลง 0.69% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่ มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลง 23.12% จากสัปดาห์ก่อนที่ 40,708.00 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ mai ลดลง 1.41% ปิดที่ 371.20 จุด
สำหรับสัปดาห์นี้ (11-15 มี.ค.) บริษัท หลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,625 และ 1,610 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,640 และ 1,650 จุด ตามลำดับ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน สถานการณ์ Brexit รวมถึงปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศ.
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สำคัญ ได้แก่ ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน และยอดค้าปลีกเดือน ม.ค. ดัชนีราคาผู้บริโภคและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ก.พ. ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ม.ค.ของยูโรโซน ตลอดจนยอดค้าปลีก การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ก.พ.ของจีน.
เงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบเกือบ 2 เดือน ที่ 31.97 บาทต่อดอลลาร์ฯ ก่อนฟื้นตัวบางส่วนช่วงปลายสัปดาห์ โดยการอ่อนค่าของเงินบาท สอดคล้องกับสถานะขายสุทธิในตลาดหุ้นและพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่เงินดอลลาร์ฯมีปัจจัยหนุน อาทิ ดัชนี PMI ภาคบริการเดือน ก.พ. ที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 7 เดือน เป็นต้น
สำหรับสัปดาห์นี้ (11-15 มี.ค.) ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 31.60-32.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยต้องจับตากระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายของนักลงทุนต่างชาติ และปัจจัยการเมืองในประเทศ ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ การพิจารณาข้อตกลง BREXIT ของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษโดยรัฐสภาอังกฤษ ความคืบหน้าของการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน และผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สำคัญระหว่างสัปดาห์ ได้แก่ ยอดค้าปลีก ยอดขายบ้านใหม่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน ข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิสู่ตลาดการเงินสหรัฐฯ เดือน ม.ค. ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคานำเข้า-ส่งออก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ก.พ. ผลสำรวจกิจกรรมภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์ก และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน มี.ค.
บ.ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด