ตลาดหุ้นไทยที่ผันผวนอย่างหนักช่วงนี้ ท่ามกลางสถานการณ์เงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ทั่วเอเชีย ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยไปแล้วกว่า 270,022.3 ล้านบาท เป็นการขายสุทธิภายในปีเดียวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งที่ยังไม่ทันสิ้นปี!! เฉพาะ ต.ค.แค่เดือนเดียวต่างชาติขายสุทธิ 61,148 ล้านบาท และถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดขาย...!!
มีคำถามว่า เพราะอะไรต่างชาติจึงขายทิ้งหุ้นไทย ซึ่งกดดันให้ดัชนีปีนี้ปรับตัวลงไปแล้วกว่า 7.11% จากดัชนีปิดสิ้นปี 60 อยู่ที่ 1,753.71 จุด ล่าสุดเมื่อ 26 ต.ค.ลงมาอยู่ที่ 1,628.96 จุด หลังทำนักลงทุน ใจหายใจคว่ำในวันก่อนหน้าที่ดัชนีปรับตัวลงลึกหลุด 1,596.87 จุด ก่อนที่จะเด้งกลับขึ้นมาได้!!
จริงๆแล้วตลาดหุ้นไทยสดใสตั้งแต่ต้นปี โดยดัชนีปรับตัวขึ้นทำนิวไฮมาได้ต่อเนื่องจากปีก่อน ส่งผลให้เดือน ก.พ. ดัชนีหุ้นไทยขยับขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหุ้น มาที่ระดับ 1,830.13 จุด ถึงขนาดมีกูรูคาดการณ์ว่า หุ้นไทยจะไปถึง 1,900 จุด บางสำนักให้ไปถึง 2,000 จุดโน่นนน!!
อะไรก็ดูดีไปหมด เศรษฐกิจกำลังฟื้น ลงทุนภาครัฐหนุน กำไรบริษัทในตลาดหุ้นโต แม้สหรัฐฯจะขึ้นดอกเบี้ยก็ไม่น่ากลัวเพราะคาดว่าไม่น่าขึ้นเร็วและแรง!! ส่วนนโยบายสุดโต่งของประธานาธิบดี “โดนัล ทรัมป์” คงทำไม่ได้จริง!?!
แต่การณ์กลับผิดคาดเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย พร้อมส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะปรับขึ้นเร็วและแรงกว่าที่คาด แถมดึงสภาพคล่องเม็ดเงินจากมาตรการ QE กลับในปริมาณที่เพิ่มขึ้น
ส่งผลให้บอนด์ยิลด์หรือผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปีปรับตัวเด้งขึ้นอย่างรวดเร็ว กระตุ้นให้เงินไหลออกจากการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นในตลาดเกิดใหม่ ไปลงทุนในตลาดสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงกว่า
ตลาดหุ้นทั่วโลกยังถูกเขย่าขวัญจากการประกาศสงครามการค้า ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนถึง 2 รอบ มูลค่าหลายแสนล้านเหรียญสหรัฐฯสนองนโยบาย Make America Great Again ทำให้สหรัฐฯกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งของประธานาธิบดีทรัมป์
จะเห็นว่าข่าวลบปัจจัยร้ายที่กดดันหุ้นไทยล้วนมาจากนอกประเทศแทบทั้งสิ้น ขณะที่เศรษฐกิจภายในประเทศไทยกำลังค่อยๆฟื้นตัวดีขึ้น
ที่ “ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทยและนายกสมาคมนักวิเคราะห์ ต้องออกมาเรียกความมั่นใจว่า หุ้นไทยที่ปรับลงแรงรอบนี้ไม่สมเหตุสมผล แค่ลงตาม Sen-timent หุ้นทั่วโลก ไม่ได้ลงเพราะพื้นฐานไม่ดี แต่นักลงทุน Over React จนเข้าสู่ภาวะ Over Sold ขายมากเกินไป และมั่นใจว่าจะเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น หากมีปัจจัยบวกเข้ามาหุ้นไทยมีโอกาสเด้งกลับปรับตัวขึ้นแรง เพราะมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งรองรับ
ดังนั้นจึงต้องแยกตลาดหุ้นไทยออกมา แม้ช่วงนี้จะผันผวนไปตามภาพรวมของโลก ที่โดนหางเลขเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ เมื่อลมมรสุมสงบหุ้นไทยจะเป็นตลาดแรกๆที่เงินต่างชาติจะกลับเข้ามา
ที่สำคัญยังมีประเด็นการเลือกตั้งเป็นปัจจัยหนุนที่สำคัญ จึงมองหุ้นไทยเป็นขาขึ้นไปถึงสิ้นปีหน้า โดยปัจจุบันตลาดหุ้นไทยมี P/E (ราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น) เฉลี่ยเพียง 13 เท่า ต่ำมากสวนทางกับกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ยังเติบโตได้ต่อเนื่อง “ไพบูลย์” ระบุว่า ราคาหุ้นที่ระดับดัชนีปัจจุบันจึงสามารถทยอยเข้าลงทุนได้แล้ว!!
สอดคล้องกับความเห็นของฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ไทยพาณิชย์ ที่ยังมีความมั่นใจต่อตลาดหุ้นไทยและคงเป้าหมายดัชนีหุ้นปีนี้ไว้ที่ 1,900 จุด หากขึ้นไม่ถึงเป้า ปิดตลาดสิ้นปีจะไม่ต่ำกว่า 1,800 จุดแน่นอน แต่จะถึง 1,900 จุดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความมั่นใจของนักลงทุน
แต่ปีหน้ามองไกลไปถึง 2,000 จุด ได้ปัจจัยบวกจากการเลือกตั้ง การเติบโตของ (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนที่คาดว่าจะเติบโตได้เฉลี่ยราว 8-10% แต่การลงทุนต้องเลือกเป็นรายกลุ่มธุรกิจ และหุ้นรายตัวที่โดดเด่นในกลุ่ม เช่น กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนเพิ่มขึ้น และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นและเศรษฐกิจที่ยังเติบโต
ขณะที่จากการสำรวจบรรดาผู้จัดการกองทุนต่างยังมองทิศทางหุ้นไทยในเชิงบวก โดย บลจ.ทิสโก้ คาดดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีแตะ 1,790 จุด มองหลังปัจจัยบวกรออยู่เพียบเช่นเดียวกับ บลจ.ธนชาต บลจ.ไทยพาณิชย์ บลจ.กรุงศรี และ บลจ.กสิกรไทย ต่างประเมินดัชนีหุ้นไทยปลายปีนี้จะไม่ปิดต่ำกว่า 1,800 จุด
หากมองได้ดังนั้น ที่ระดับดัชนีปัจจุบันที่ 1,628.96 จุด จึงยังมีโอกาสขึ้นไปได้อีกราว 170 จุด!!
ที่สำคัญสำหรับผู้ที่มีหน้าที่ต้องจ่ายภาษี การทยอยเข้าซื้อกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนเพื่อเกษียณอายุ (RMF) ที่เน้นลงทุนหวังผลตอบแทนระยะยาวและได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี...
จะมัวรออะไร!!
วณิชยา แสงทอง