ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูง นักลงทุนต่างจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ยังส่งสัญญาณว่าอาจมีการปรับขึ้นอีก 1-2 ครั้งภายในปีนี้ พร้อมดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างเข้มงวด ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจยังชะลอตัว และบางเขตเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) แต่จะไม่รุนแรงเท่าปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับ “ราคาตราสารหนี้” ซึ่งโดยปกติแล้วในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ราคาตราสารหนี้จะปรับตัวลดลง จึงเป็นโอกาสของนักลงทุนเข้าสะสมตราสารหนี้จากราคาที่น่าสนใจ
สุรเดช เกียรติธนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า สัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าใกล้จุดสูงสุดแล้ว และจะปรับลดลงในระยะถัดไป อย่างไรก็ดี ราคาของตราสารหนี้จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับอัตราดอกเบี้ย ดังนั้น ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นที่อัตราดอกเบี้ยยังสูง ตราสารหนี้จะมีราคาไม่แพง จึงมองเป็นจังหวะเข้าซื้อกองทุนตราสารหนี้ เพื่อถือรอโอกาสทำกำไรในจังหวะดอกเบี้ยขาลงได้
การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ คาดว่าจะส่งสัญญาณปรับขึ้นได้อีกเพียง 0.25%-0.50% ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ไปอยู่ที่ 5.50%-5.75% เช่นเดียวกับธนาคารแห่งประเทศไทยที่คาดว่าจะปรับขึ้นได้อีก 0.25% ไปอยู่ที่ 2.25% ในขณะเดียวกันทิศทางเงินเฟ้อเริ่มปรับตัวลดลงอย่างชัดเจนในหลายประเทศ ประกอบกับตัวเลขทางเศรษฐกิจหลักต่างๆ อาทิ อัตราการว่างงาน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ที่ชะลอตัวลง สะท้อนโอกาสการเกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย และความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะถูกปรับลงในระยะถัดไป ทำให้ตราสารหนี้ที่มีคุณภาพดี (Investment Grade) มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้น่าสนใจกว่าตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูง (High Yield Bond)
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ได้แนะนำ 4 กองทุนตราสารหนี้ ตามเป้าหมายและระยะเวลาการลงทุน ได้แก่ K-SFPLUS, K-PLAN1, K-FIXEDPLUS-A ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ที่เน้นลงทุนในประเทศเป็นหลัก และลงทุนในต่างประเทศแบบจำกัดสัดส่วน เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย หุ้นกู้เอกชนของไทย และเงินฝากต่างประเทศ แต่หากผู้ลงทุนต้องการที่จะเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนให้ได้มากจากทั่วโลก และรับความเสี่ยงจากความผันผวนได้ ก็สามารถเลือกลงทุนในกองทุน K-GB-A(D) ได้เช่นกัน