ทรัพย์บัวหลวง แนะทยอยลงทุนกองทุน RMF และกองทุน SSF เครื่องมือลดหย่อนภาษีปี 65 หลังหุ้นไทยย่อตัว ลงทุนได้ทั้งกองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้นทั่วโลก และกองทุนหุ้นไทย
นายเสริมศักดิ์ วงศ์สิทธิโชค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายค้าตราสารการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกพักฐานย่อตัวลงมาพอสมควร ทั้งตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดประเทศพัฒนาแล้ว จากสถานการณ์อัตราเงินเฟ้อสูง และอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่อยู่ระดับสูง
แต่นับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. 65 ที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นสัญญาณอัตราเงินเฟ้อ โดยเฉพาะในสหรัฐฯ สูงขึ้นน้อยกว่าที่คาดการณ์ แม้ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกในปีนี้ ท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังอยู่ระดับสูง แต่อัตราที่เพิ่มขึ้นในปี 2566 อาจน้อยลง
จากภาพรวมตลาดหุ้นในช่วงนี้ที่ย่อตัวลงมา ขณะที่ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า มองสินทรัพย์เสี่ยงมีโอกาสฟื้นตัวสูง จากความเสี่ยงเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ที่คงไม่สูงไปกว่านี้หลังผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยในปี 2566 มีโอกาสทรงตัวหรือปรับตัวลดลงได้
ส่วนตลาดหุ้นจีนที่มีประเด็น ZERO-COVID เชื่อในช่วงครึ่งแรกปี 2566 จะเริ่มเห็นความชัดเจนในการเปิดประเทศ ฉะนั้นช่วงนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีในการทยอยสะสมกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อนำไปลดหย่อนภาษีปี 2565
สำหรับการลงทุนในกองทุน SSF-RMF รายงาน BLS Top Funds ของหลักทรัพย์บัวหลวง แนะนำนักลงทุนกระจายการลงทุนออกเป็น 3 ส่วนหลัก คือ
1. กองทุนตราสารหนี้ ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ประเภทต่างๆ ภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ เพราะกองทุนตราสารหนี้จะช่วยทำให้พอร์ตลงทุนไม่ผันผวนมากนัก และสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง ไม่หวือหวา เน้นความมั่นคง เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ
กองทุนแนะนำ คือ กองทุนเปิดเคเคพี อินคัมเพื่อการเลี้ยงชีพ ชนิดทั่วไป (KKP INRMF) ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ของบริษัทเอกชนที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีมีแนวโน้มเติบโตสูงและมีเสถียรภาพทางการเงินที่ดี
2. กองทุนหุ้นทั่วโลก ที่มีนโยบายกระจายการลงทุนไปในหุ้นของบริษัทชั้นนำระดับโลกเหมาะกับผู้ที่รับ ความเสี่ยงได้สูง ซึ่งกองทุนประเภทนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีทางหนึ่งให้กับนักลงทุน
กองทุนแนะนำ คือ กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นโกลบอลเพื่อการเลี้ยงชีพ (B-GLOBALRMF) มีนโยบายลงทุน หุ้นทั่วโลกคุณภาพดี เติบโตสูง โดยจะกระจายตัวไปในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมหนุนให้พอร์ตไม่กระจุกตัวอยู่ในประเทศใดประเทศหนึ่ง ขณะที่ผลตอบแทนในช่วงที่ผ่านมาสามารถทำผลงานออกมาได้ดีก่อนย่อตัวลงในปีนี้ตามตลาดหุ้นทั่วโลก
3.กองหุ้นไทย ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ซึ่งกองทุนประเภทนี้นักลงทุนยังคงต้องมีติดพอร์ตไว้ เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในทิศทางฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากการเปิดเมือง ซึ่งได้รับแรงหนุนหลักมาจากภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคจากภาคเอกชน
ขณะเดียวกัน คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำให้ยังเป็นปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวต่อไปได้ สำหรับกองทุนแนะนำ คือ
กองทุนเปิดเคเคพีหุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ (KKP EQRMF) เน้นลงทุนหุ้นของบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดีมีแนวโน้ม การเติบโตสูง และมีความมั่นคงด้านฐานะทางการเงิน ซึ่งหุ้นในพอร์ตจะกระจายตัวในหลากหลายกลุ่ม ได้แก่ พลังงาน, ธนาคาร, พาณิชย์, อาหารเครื่องดื่ม และวัสดุก่อสร้าง
สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง - มาก รายงาน BLS Top Funds แนะนำจัดพอร์ตลงทุน โดยให้น้ำหนักในหุ้นไทยประมาณ 30% หุ้นทั่วโลก 30% ตราสารหนี้ 20-30% ที่เหลือ 10% กระจายการลงทุนเพื่อเพิ่มผลตอบแทนในตลาดและสินทรัพย์ทางเลือก
เช่น ตลาดเวียดนาม หุ้นเทคโนโลยี และทองคำ แม้ที่ผ่านมาตลาดเวียดนามจะปรับตัวลงแรง แต่ยังเป็นตลาดที่น่าสนใจ เพราะเศรษฐกิจในช่วง 3 ปีข้างหน้า GDP มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 6-8% ต่อปี ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูง ส่วนผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ แนะลงทุนในตราสารหนี้ประมาณ 50-70% ที่เหลือ 20-30% ลงทุนในหุ้นไทยและหุ้นทั่วโลก
นายเสริมศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาตัวช่วยจัดพอร์ตกองทุนรวมแบบมืออาชีพหลักทรัพย์บัวหลวง แนะนำบริการ BLS Top Funds Portfolio : Auto Asset Allocation ระบบบริหารพอร์ตการลงทุนผ่านกองทุนรวมแบบอัตโนมัติ ด้วยการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ผ่านกองทุนรวมที่หลักทรัพย์บัวหลวงทำการคัดเลือกจาก 18 บลจ. ชั้นนำ โดยใช้ทั้งการวิเคราะห์เชิงคุณภาพและเชิงปริมาณอีกด้วย.