ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯ อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการดำเนินการตามแผนฟื้นฟู 4 เงื่อนไข ประกอบด้วย
ขณะที่กรอบการดำเนินงานเพื่อยื่นออกจากแผนฟื้นฟูกิจการนั้น คาดว่าภายในเดือนเม.ย.นี้ จะยื่นต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ หลังจากนั้นคาดว่าภายในเดือน พ.ค.นี้ ศาลล้มละลายกลางอนุมัติยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ ขณะเดียวกันบริษัทฯ ประเมินว่าในช่วงต้น - กลาง มิ.ย.นี้ จะดำเนินการให้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามการยื่นขอกลับไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ และภายในเดือน มิ.ย. 2568 หุ้นของบริษัทฯ จะกลับไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
“การกลับเข้าไปเทรดในตลาด ช่วงที่ตลาดยังมีความผันผวนนั้น บริษัทฯ เรามองว่าตลาดมีความผันผวนเกิดขึ้นตลอด แต่การบินไทยเรามีความมั่นใจในการฟื้นฟูกิจการ และกำหนดไว้ว่าเมื่อออกจากการฟื้นฟูกิจการแล้วจะต้องกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อทำให้ผู้ถือหุ้นได้ซื้อขายหลักทรัพย์อย่างที่ตั้งเป้าไว้ในกลางปีนี้”
อย่างไรก็ดี เพื่อทำให้ผู้ถือหุ้นมั่นใจในการบินไทย และได้รับประโยชน์จากการจ่ายเงินปันผล ที่ประชุมคณะผู้บริหารแผนเมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2568 มีมติอนุมัติการลดมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) ของหุ้นของบริษัทฯ จากหุ้นละ 10 บาท เป็นหุ้นละ 1.30 บาท เพื่อชดเชยผลขาดทุนสะสมทางบัญชีของบริษัทฯ ให้ใกล้เคียงศูนย์มากที่สุด โดยจะทำให้ทุนจดทะเบียนและทุนชำระแล้วของบริษัทฯ ลดลงจากจำนวนประมาณ 283,033 ล้านบาท เป็นจำนวนประมาณ 36,794 ล้านบาท และทำให้ผลขาดทุนสะสมลดลงเหลือ 180 ล้านบาท
ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้หรือบริษัทฯ แต่อย่างใด และไม่ส่งผลกระทบต่อส่วนของผู้ถือหุ้นรวมในงบการเงินของบริษัทฯ อีกทั้ง ไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าบริษัทหรือมูลค่าต่อหุ้น เนื่องจากมูลค่าต่อหุ้นไม่ได้ถูกกำหนดจากมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (Par Value) และเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทฯ สามารถพิจารณาจ่ายเงินปันผลในอนาคตให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ รวมถึงเจ้าหนี้จากการแปลงหนี้เป็นทุน
และเป็นการเพิ่มความน่าสนใจของหุ้นให้แก่นักลงทุนภายหลังการกลับเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือหากในอนาคต บริษัทฯ ต้องการที่จะระดมทุนเพิ่มเติมโดยการออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อนำมาใช้ในการประกอบกิจการหรือชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัทฯ ก็สามารถดำเนินการได้โดยไม่ติดขัดเรื่องผลขาดทุนสะสมซึ่งเป็นเพียงตัวเลขทางบัญชีอีกต่อไป
ชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้บริษัทฯ ยังคงมีแผนดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยจะรับมอบเครื่องบินเพิ่มเติมจำนวน 9 ลำ จากปัจจุบันที่มีอยู่จำนวน 79 ลำ โดยจะรับมอบแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 ปีนี้ ประกอบด้วย แอร์บัส A330 จำนวน 7 ลำ แอร์บัส A321 จำนวน 1 ลำ และแอร์บัส A330-300 จำนวน 1 ลำ โดยเมื่อมีการรับมอบเครื่องบินเหล่านี้บริษัทฯ จะนำไปเพิ่มความถี่จุดบินที่มีศักยภาพ เช่น จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และเยอรมนี เพื่อทำให้ภาพรวมผู้โดยสารปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 16.5 ล้านคน จากปี 2567 ที่มีจำนวน 16 ล้านคน
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้หารือร่วมกับสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เพื่อเข้าร่วมประมูลโครงการพัฒนาศูนย์ซ่อมอากาศยานอู่ตะเภา ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) อยู่ระหว่างเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อดำเนินโครงการและกำหนดเงื่อนไขคัดเลือกผู้ลงทุน โดยเบื้องต้นประเมินว่าโครงการดังกล่าวจะใช้งบประมาณลงทุนราว 1 หมื่นล้านบาท โดยการบินไทยจะเป็นผู้ลงทุนหลัก เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจนี้ ขณะที่สัดส่วนการลงทุนจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องรอให้มีการลงนามสัญญาร่วมกับบางกอกแอร์เวย์สแล้วเสร็จจึงจะเปิดเผยได้
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวด้วยว่า หลังจากออกจากแผนฟื้นฟูแล้วการบินไทยยังมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินธุรกิจเพื่อเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง เพราะมองว่าการแข่งขันที่รุนแรง จะยังไม่เกิดขึ้นในระยะสั้นนี้เหตุเพราะอุตสาหกรรมการบินยังเผชิญปัญหาเครื่องบินที่มีจำกัดไม่สามารถเพิ่มการบริการได้ โดยผลจากการหารายได้อย่างต่อเนื่องนั้น การบินไทยจึงมั่นใจว่าจะสามารถใช้หนี้ที่สะสมเดิมที่คงเหลือ 8.7 หมื่นล้านบาทตามกำหนด และจะสามารถจ่ายหนี้ค่าเช่าเครื่องบินที่จะเกิดขึ้นรวม 9 หมื่นล้านบาทตามกำหนด และหมดในปี 2579
ส่วนการแต่งตั้งคณะกรรมการ (บอร์ด) ชุดใหม่เพื่อเข้ามาบริหารนโยบายของบริษัทฯ หลังออกจากฟื้นฟูกิจการนั้น เบื้องต้นมีการเสนอรายชื่อกรรมการใหม่เพื่อเข้าสู่การพิจารณาของผู้ถือหุ้นรวม 9 ราย แบ่งออกเป็นตำแหน่งกรรมการ จำนวน 6 ราย ได้แก่
และกรรมการอิสระ จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย
ทั้งนี้ ภายหลังจากบริษัทฯ ได้รับมติอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นแล้ว และได้รับอนุญาตจากศาลล้มละลายกลางแล้ว บริษัทฯ จะดำเนินการจดทะเบียนการเปลี่ยนแปลงจำนวนกรรมการ และการแต่งตั้งจดทะเบียนกรรมการใหม่ ก่อนที่จะดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการต่อไป
ทั้งนี้ การบินไทยขอชี้แจงผลการดำเนินงานในปี 2567 โดยการบินไทยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 187,989 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ซึ่งมีรายได้รวม 161,067 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 16.7% ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) อยู่ที่ 41,515 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ซึ่งมีกำไร 40,211 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 3.2% แต่หลังจากปรับโครงสร้างธุรกิจ ซึ่งมีผลทางบัญชี ทำให้การบินไทยมีผลขาดทุน 26,901 ล้านบาท แต่ยืนยันว่าตัวเลขดังกล่าวไม่ได้เป็นการสะท้อนการดำเนินงานที่แท้จริง เพราะเป็นรายการทางบัญชีที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว โดยตัวเลขที่สะท้อนการทำธุรกิจเป็นรายได้จากการดำเนินงาน
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้