หลังจากที่ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ควบรวมกิจการกับ “ดีแทค (DTAC)” เมื่อเดือนมีนาคม 2566 ก็ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางการเงินครั้งใหญ่ ส่งผลให้บริษัทยังไม่สามารถรายงานกำไรสุทธิได้
หนึ่งในปัจจัยหลักที่กดดันผลประกอบการของ TRUE คือการตั้งด้อยค่าทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเครือข่ายให้ทันสมัย (Network Modernization) ทำให้ต้องบันทึกสินทรัพย์ที่ซ้ำซ้อนและด้อยค่าเงินลงทุนอื่นๆ กระทบโดยตรงต่อต้นทุนทางบัญชีของบริษัท
ล่าสุด TRUE ประกาศปี 2568 ผลประกอบการจะพลิกเป็นกำไรสุทธิครั้งแรก หลังควบรวมกิจการกับดีแทค พร้อมคาดว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลมากกว่า 50% ของกำไรสุทธิ โดยเร่งเดินหน้าปรับปรุงโครงข่ายให้แล้วเสร็จภายในครึ่งแรกของปี 2568 พร้อมตั้งเป้ารายได้จากการให้บริการเติบโต 2-3% และคาดว่ากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา (EBITDA) จะเติบโตได้ 8-10% จากปีก่อน
นกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE กล่าวว่า ผลประกอบการปี 2568 คาดว่าจะมีกำไรสุทธิหลังหักภาษี ตามรายงาน และได้พิจารณาความเป็นไปได้ในการจ่ายเงินปันผลมากกว่า 50% ของกำไรสุทธิ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการอนุมัติของคณะกรรมการ
ขณะเดียวกัน บริษัทตั้งเป้ารายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย: IC และการเชื่อมต่อโรมมิ่ง) ตลอดปี 2568 เติบโตเพิ่มขึ้น 2 ถึง 3% จากปีก่อน ขณะที่กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ตลอดปี 2568 เติบโตเพิ่มขึ้น 8 ถึง 10% จากปีก่อน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุน (CAPEX) รวมการบูรณาการคาดว่าจะอยู่ที่ 2.8-3 หมื่นล้านบาท
สำหรับแนวโน้มธุรกิจปี 2568 คาดว่าจะเติบโตสอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย โดยมีปัจจัยหนุนจากการเพิ่มขึ้นของรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้บริการ (ARPU) ในธุรกิจมือถือ และการเติบโตของฐานลูกค้าออนไลน์ รวมถึงรายได้จากกลุ่มลูกค้าองค์กร (B2B) ที่มีแนวโน้มเติบโตขึ้น
ด้านกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) คาดว่าจะมีทิศทางปรับตัวดีขึ้น จากการประหยัดต้นทุนหลังรับผลบวกจากการควบรวมอย่างเต็มที่ และการบริหารต้นทุนการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าเดินหน้าปรับปรุงโครงข่ายให้ทันสมัยแล้วเสร็จภายในครึ่งแรกของปี 2568 หรืออย่างช้าในไตรมาส 3/68 ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำไรสุทธิ ทั้งนี้ เพื่อส่งมอบเครือข่ายยกระดับประสบการณ์ลูกค้า พร้อมคุณภาพบริการที่เป็นมาตรฐานเดียวกันให้กับลูกค้าทั่วประเทศ
นกุล เซห์กัล กล่าวอีกว่า บริษัทกำลังยกระดับการบริการลูกค้า โดยอาศัยเทคโนโลยี AI อาทิ การแนะนำบริการที่เหมาะสมกับความต้องการลูกค้าแต่ละราย การให้ความช่วยเหลือทันที ผ่านแอปพลิเคชันใหม่ ช่วยให้ลูกค้าตรวจสอบและจ่ายบิล รับสิทธิประโยชน์ และการบริการจาก AI ทั้งหมดผ่านจุดบริการเดียว
โดยมีเป้าหมายส่งเสริมให้มีผู้ใช้บริการดิจิทัลเพิ่มขึ้นจาก 1 ใน 3 เป็น 40% และขยายฐานผู้ใช้ดิจิทัลเป็น 20 ล้านราย สอดรับกับการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ที่ครบวงจร
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney