ทำไมหุ้นเวียดนามเป็น “โอกาส” กลางความปั่นป่วนของโลก

Experts pool

Columnist

บล.บัวหลวง

บล.บัวหลวง

Tag

ทำไมหุ้นเวียดนามเป็น “โอกาส” กลางความปั่นป่วนของโลก

Date Time: 18 ส.ค. 2567 11:33 น.

Video

เปิดภารกิจ 3 แบงก์ไทย ใช้ Green Finance ช่วยลูกค้าปรับตัวฝ่า ระเบียบโลกใหม่ | 1st Anniversary Thairath Money

Summary

  • ตลาดหุ้นเวียดนาม กำลังเป็นโอกาสของการลงทุน และนักลงทุนไทยก็สามารถลงทุนได้ง่ายผ่าน DR

Latest


ตลาดหุ้นโลกเผชิญกับเหตุการณ์ “Black Monday” เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2567 สาเหตุจากความกังวลการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ หลังตัวเลขเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการ unwind carry trade ของค่าเงินเยน ส่งผลให้ตลาดหุ้นเกิดการปรับฐานอย่างหนัก โดยเฉพาะตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ปรับลงถึง -12% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงแรงที่สุดในรอบ 37 ปี ตามด้วยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียอย่างเกาหลีใต้ -10% และไต้หวัน -8% ส่วนในคืนนั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ปรับลง -3% เช่นกัน

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความผันผวนที่เกิดขึ้นในวันนั้นยังมีตลาดหุ้นหนึ่งที่ปรับลงน้อยกว่าเพื่อน ซึ่งคือ “เวียดนาม” โดยสาเหตุที่ตลาดหุ้นเวียดนามได้รับผลกระทบจำกัดกว่าที่อื่น ผู้เขียนมองว่าเป็นเพราะมีปัจจัยภายในประเทศที่คอยพยุงไว้ทั้งในด้านเศรษฐกิจและตลาดหุ้น

ในแง่ของเศรษฐกิจเป็นที่ทราบกันดีว่าเวียดนามเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง โดย IMF คาดว่า GDP จะเติบโตดีที่สุดในอาเซียนระดับ 6-6.5% ในปี 67-68 ซึ่งดีกว่าไทยที่คาดว่าจะโตประมาณ 3% ในช่วงเวลาเดียวกัน สาเหตุสำคัญมาจากการใช้นโยบายภาครัฐที่ผ่อนคลาย เช่น การลด VAT จาก 10% เหลือ 8% ไปจนถึงสิ้นปีนี้ หรือการเพิ่มประเทศที่ฟรีวีซ่า เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว เป็นต้น อีกทั้งเวียดนามยังมีศักยภาพในการเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโลก โดยกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจสำหรับต่างชาติในการตั้งฐานการผลิตเพื่อกระจายความเสี่ยงออกจากประเทศจีน เห็นได้จากบริษัทระดับโลก เช่น Samsung, Apple, LG, Foxconn และ Panasonic ที่เข้ามาตั้งหรือขยายฐานการผลิตในเวียดนาม รวมถึงบริษัทชิปชั้นนำอย่าง Nvidia ที่มีแผนตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนา AI เป็นแห่งแรกในอาเซียน ตอกย้ำถึงศักยภาพของเวียดนามในการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและการผลิตเทคโนโลยีขั้นสูง 

ในส่วนของตลาดหุ้นเวียดนามก็ถือว่ามีแรงขับเคลื่อนจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มโตระดับ 20% ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า พร้อมด้วยมูลค่าหุ้นที่ยังอยู่ในระดับต่ำ P/E 12 เดือนข้างหน้าของตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่เพียง 11 เท่า ต่ำกว่าดัชนี SET ของไทยที่ 13.1 เท่า (ข้อมูล ณ วันที่ 13 สิงหาคม 2567) ทำให้น่าสนใจทั้งในแง่อัตราการเติบโตและมูลค่าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคอาเซียน

อีกทั้งผู้เขียนยังมองเห็นศักยภาพในการเติบโตของตลาดหุ้นเวียดนามจากแนวโน้มการยกระดับจากตลาดชายขอบสู่ตลาดเกิดใหม่ ขึ้นมาเทียบเคียงประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ แม้ปัจจุบันอาจยังเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับเวียดนามที่จะเลื่อนสถานะสู่ตลาดเกิดใหม่ในการพิจารณาของ FTSE ในเดือนกันยายน 2567 เนื่องจากยังติดข้อจำกัดที่สำคัญบางประการอยู่ แต่ผู้เขียนเชื่อว่าจะมีโอกาสมากขึ้นที่เวียดนามจะได้รับการเลื่อนสถานะสู่ตลาดเกิดใหม่ตามเกณฑ์ของ FTSE ภายในเดือนกันยายน 2568 หลังเริ่มเห็นถึงความคืบหน้าในการแก้ไขข้อจำกัดมากขึ้น เช่น การเตรียมขึ้นระบบซื้อขายหุ้นใหม่ (KRX trading system) เพื่อยกระดับมาตรฐานของตลาดหุ้นเวียดนาม และการเตรียมใช้ non-prefunding เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนสถาบันต่างชาติเข้าซื้อหุ้นเวียดนามได้ง่ายขึ้น

โดยหากพิจารณาจากกรณีศึกษาของประเทศคูเวตที่ได้รับการเลื่อนสถานะสู่ตลาดเกิดใหม่ในปี 2561 พบว่ามีปริมาณการซื้อขายหุ้นเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น และมี Flow จากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้าอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ในปีต่อมา (2562) ดัชนี MSCI Kuwait ปรับตัวขึ้นถึง 36% นับเป็นการปรับขึ้นสูงสุดในรอบ 8 ปี ผู้เขียนจึงเห็นถึงโอกาสสำหรับตลาดหุ้นเวียดนามในครั้งนี้เช่นกัน

สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม สามารถลงทุนได้สะดวกและมีประสิทธิภาพด้วย Depository Receipt (DR) หรือตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ ผ่านตลาดหุ้นไทย โดยปัจจุบันมี DR ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงที่ลงทุนในหุ้นเวียดนามอยู่ 2 ตัว ได้แก่ 1. E1VFVN3001 ที่อ้างอิงกับดัชนี VN 30 (หุ้นชั้นนำ 30 ตัวของเวียดนาม) โดยเป็นการลงทุนที่สะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นเวียดนาม เนื่องจากมูลค่าตลาดของหุ้นในดัชนี VN 30 ครอบคลุมมากกว่า 70% ของภาพรวมตลาดหุ้นเวียดนาม และ 2. FUEVFVND01 ที่อ้างอิงกับดัชนี VN Diamond โดยเป็นดัชนีที่รวบรวมหุ้นเวียดนามชั้นนำที่มักติดข้อจำกัด FOL หรือนักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนหุ้นรายตัวได้ยาก เช่น หุ้น FPT บริษัทเทคโนโลยีอันดับหนึ่งของเวียดนามในแง่มูลค่าตลาด ขณะที่หากนับจากต้นปี 2567 DR อิงหุ้นเวียดนามทั้ง 2 ตัวดังกล่าว มีผลตอบแทนที่ค่อนข้างดี โดยสามารถเอาชนะดัชนี SET ไปได้พอสมควร และมีมูลค่าตลาดรวมกันเกือบ 14,000 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 13 สิงหาคม 2567) ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมของ DR ได้ที่ bualuang.co.th/dr