เมื่อสองสัปดาห์ก่อนผมมีโอกาสเดินทางไปทำข่าวงาน Worldwide Developers Conference (WWDC24) ที่สำนักงานใหญ่ “Apple Park” ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งนับเป็นอีเวนต์ระดับโลก ของ “Apple” ที่สื่อ ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ และบรรดาผู้ใช้งานทั่วโลก ต่างจับตามองกันเป็นพิเศษ
จากการเปิดตัวซอฟต์แวร์ใหม่ๆ ที่จะมีผลต่อผู้ใช้ นักพัฒนา รวมไปถึงจะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลกได้อย่างไร ซึ่งในปีนี้ได้มีการเปิดตัว iOS 18 สำหรับ iPhone, iPadOS18 สำหรับ iPad, macOS Sequoia สำหรับเครื่อง Mac, watchOS11 สำหรับ Apple Watch, visionOS2 สำหรับชุด Apple Vision Pro และ tvOS18 บน Apple TV
ภายใต้บรรยากาศที่คึกคัก กับผู้ร่วมงานจากผู้คนทั่วโลกจาก 65 ประเทศ จำนวนหลายพันคน ทำให้ Apple ตัองจัดในสถานที่กลางแจ้งอากาศดี แดดจัด มีโอกาสได้เข้าถึงข้อมูลแบบเจาะลึกละเอียดยิบ มีโอกาสได้พูดคุยกับนักพัฒนาดังๆ อย่างเช่น “เจมส์ คิวดา” ซีอีโอของแอปพลิเคชันยอดนิยมอย่าง Procreate ที่มาเล่าถึงเรื่องราวการพัฒนาแอปฯ Procreate Dreams ที่ต่อยอดจากแอปฯ เดิมอย่างไร
สถานที่ใน Apple Park ที่หลายๆ คน ใฝ่ฝันว่าสักวันหนึ่งจะมีโอกาสได้ไปเยือน เป็นอาคารที่ออกแบบสวยงาม สะท้อนกับความเป็นเอกลักษณ์ของ Apple ได้เป็นอย่างดี ตัวอาคารเป็นวงกลมคล้ายกับยานอวกาศจนถูกเรียกว่า “ยานแม่” มีความกว้างขวางใหญ่โตมากจนเแทบจะเดินไม่ไหวต้องใช้รถกอล์ฟช่วยอำนวยความสะดวก
อีกหนึ่ง ไฮไลต์พิเศษในงานนี้ก็คือ การประกาศเปิดตัว ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของ Apple ที่ถูกมองว่ามีความเคลื่อนไหวช้ามาก เมื่อเทียบกับคู่แข่งและในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ท่ามกลางกระแสตื่นตัว AI หลังจาก Chat-GPT โดย OpenAI ได้เปิดตัวเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เป็นโมเดลภาษาขนาดใหญ่ ทำหน้าที่เป็น chatbot และ virtual assistant ที่มีความสามารถตอบคำถามได้หลากหลายรูปแบบ ช่วยแปลภาษา ช่วยเขียนคอนเทนต์ ช่วยสร้างสรรค์ผลงานสารพัด
นับเป็นบริการที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก เพียงแค่ 2 เดือนแรกหลังเปิดให้บริการ มีผู้ใช้ทะลุหลัก 100 ล้านคน แซงหน้าแม้กระทั่ง Facebook
ตัวอย่างการใช้งานด้าน AI ที่ช้ากว่าคู่แข่ง เช่น Siri ผู้ช่วยเลขาส่วนตัวอัจฉริยะ ที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2011 แต่พัฒนาการกลับล่าช้ากว่าคู่แข่ง ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมักจะถูกเย้ยหยันถึงการไม่พัฒนาเท่าที่ควร
เหตุผลสำคัญที่เป็นอุปสรรคก็คือ นโยบายสำคัญของ Apple ที่มุ่งเน้นความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้ ซึ่งทำให้การพัฒนาเทคโนโลยี AI เป็นไปช้ากว่าชาวบ้าน เนื่องจากจะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลจำนวนมาก แต่ Apple ให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว ทำให้บางครั้งในฐานผู้ใช้ก็หงุดหงิดได้เหมือนกัน เอะอะอะไร ก็อ้างความเป็นส่วนตัวตลอดเวลา ท่ามกลางที่ภัยอันตรายจากออนไลน์ โดยเฉพาะมิจฉาชีพที่ขยันหาช่องทางโกงทุกรูปแบบ
ดังนั้นความน่าสนใจในงานดังกล่าวจึงมองว่า Apple จะพลิกเกม AI ได้อย่างไร หากยังเน้นความปลอดภัยที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา AI มาสู่ผู้ใช้ iPhone และอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งท้าทายต่ออนาคตธุรกิจของ Apple อย่างแรง
ในที่สุดได้เฉลยคำตอบออกมาว่า AI ของ Apple ถูกเรียกว่า Apple Intelligence โดยจะยังคงเน้นความเป็นส่วนและความปลอดภัย ซึ่งการประมวลผล AI จะให้เรียนรู้ภายในเครื่องอาทิ iPhone, iPad และ Mac เท่านั้น และจะลบข้อมูลทันทีหลังจากใช้งานแต่ละครั้ง
สำหรับการ AI ที่ต้องการประมวลผลหนักที่ iPhone หรืออุปกรณ์อื่นๆ ไม่สามารถรองรับได้ระบบจะถูกส่งไปยัง Private Cloud Compute ให้ประมวลผลแทน และส่งกลับยังอุปกรณ์ โดยการใช้ผ่านระบบคลาวด์นี้ ยังเน้นความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย โดยขจะลบข้อมูลหลังจากคำขอการใช้งาน และซ่อนที่อยู่ไอพี ของเครื่องไอพีนั้นๆ
ที่สำคัญระบบดังกล่าวเปิดให้ใช้งานร่วมกับ Chat-GPT เวอร์ชันล่าสุด GPT-4o ได้ด้วย และจะมี Gen AI ค่ายอื่นๆ ตามมาในอนาคต
Apple Intelligence จะทำให้ Siri มีความสามารถขึ้นอย่างมาก จะสามารถเข้าใจบริบทของผู้ใช้ที่เฉพาะเจาะจงได้มากขึ้น แม้ว่าผู้ใช้จะพูดก็ตาม Siri จะทำงานร่วมกับ Chat-GPT และทำหน้าที่คล้ายๆ กัน หากประมวลผลได้เองก็ทำ หากเกินขีดความสามารถส่งต่อให้ Chat-GPT ประมวลผลต่อและส่งกลับ
อย่างไรก็ตาม การที่ไม่เก็บข้อมูลไว้ใน iPhone นั้นจะทำให้การประมวลแต่ละครั้งจะต้องใช้พลังเป็นอย่างมาก ดังนั้น อุปกรณ์ที่รอนับจะเป็นอุปกรณ์ใหม่ๆ เช่น iPhone 15 Pro และ 15 Pro Max ที่ใช้ชิป A17 Pro ส่วน iPad และ Mac จะใช้งานได้บนชิป M1 หรือใหม่กว่า
ด้วยข้อสงสัยว่าทำไม iPhone รุ่นเดิมๆ ที่รองรับ AI และ Machine Learning ในชิปก่อนหน้านี้ถึงใช้ไม่ได้ หรือว่าฉวยโอกาสขายสินค้าหรือไม่ ได้รับการยืนยันว่าจริงๆ แล้วใช้ได้ แต่พลังการประมวลผลไม่เพียงพอ ซึ่งอาจจะทำให้เครื่องทำงานหนัก ร้อน เปลืองแบต ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดี
ทันทีหลังจากเฉลยข้อกังขาในระบบ AI ปรากฏว่าวิธีคิดของ Apple ถูกขานรับทันที โดยเฉพาะหุ้นของ Apple ปรับเพิ่มขึ้นแบบมีนัยสำคัญสูงสุดในรอบปีนี้ และขึ้นสูงสุดในวันเดียวตั้งแต่ปี 2019 ว่าจะทำให้ Apple มีความได้เปรียบในเรื่องเทคโนโลยี AI ซึ่งเป็นกระนิยมในขณะนี้ รวมไปถึงการกระตุ้นตลาดให้รับรู้และเตรียมซื้อหรืออัปเกรดอุปกรณ์ใหม่ๆ ที่รองรับการใช้งานเป็นจำนวนมาก
โกลด์แมน แซคส์ ธนาคารเพื่อการลงทุน ในสหรัฐฯ ประเมินว่า ได้ปรับเพิ่มประมาณการยอดขาย iPhone ในปีหน้าเพิ่มขึ้นอีก 9.5 ล้านเครื่อง และเพิ่มอีกเป็น 10.1 ล้านเครื่องในปีต่อไป เนื่องจาก AI จะกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจอัปเกรด iPhone
ขณะที่ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา มีผู้ใช้ iPhone จำนวน 270 ล้านเครื่อง ที่ยังไม่ได้อัปเกรด และคาดว่ากว่า 15% จะไปอัปเกรดเป็น iPhone 16 เพื่อใช้งาน Siri ที่ฉลาดขึ้น และ Chat-GPT
กลยุทธ์การเปิดตัว Apple Intelligence นับเป็น Game Changer อย่างแท้จริง จากที่หลายๆ ฝ่ายมองกันว่าการเปิดตัว AI ที่ล่าช้ากว่าคู่แข่ง ซึ่งอาจจะสั่นคลอนอนาคตของ Apple ก็เป็นได้ กลับพลิกเกมที่นำจุดแข็งเรื่องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยมาเป็นจุดขาย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานและสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้น และจะทำให้คู่แข่งเดินตามเกมของแอปเปิลต่อไป
หลังจาก “พลิกเกม” กับอุปกรณ์อย่าง iPhone ที่มีผู้ใช้ทั่วโลกกว่า 1,500 ล้านเครื่อง หรือ iPad, MacBook และ Apple Watch เป็นต้นที่ ที่ล้วนแต่นำเสนอนวัตกรรมและเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้งานของผู้คนทั่วโลก
พิสูจน์ได้ว่า Apple ไม่ใช่เป็นเพียงแค่บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นบริษัทโคตรเซียนทางการตลาด ที่ขายไอเดียออกมา ยังไม่ทันไรมีกระแสตอบรับท่วมท้นและสร้างตลาดรอล่วงหน้าไว้แล้ว
นี่เป็นเพียงการเริ่มนับหนึ่งเท่านั้น ผู้ใช้อุปกรณ์ของ Apple จะได้เริ่มใช้ Apple Intelligence ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง หรือช่วงเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ แต่จะรองรับเฉพาะภาษาอังกฤษ/อเมริกัน ก่อน ส่วนภาษาอื่นๆ ที่ทยอยใช้งานได้ในปีหน้า
ติดตามข้อมูลด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/business_marketing
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney