ถูกคน-ถูกที่-ถูกเวลา “กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์” นั่งประธานบอร์ดตลาดหุ้น

Experts pool

Columnist

Tag

ถูกคน-ถูกที่-ถูกเวลา “กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์” นั่งประธานบอร์ดตลาดหุ้น

Date Time: 24 พ.ค. 2567 19:35 น.

Video

บรรยง พงษ์พานิช แกะปมเศรษฐกิจไทยโตต่ำ ฟื้นช้า พร้อมแนะทางออก

Summary

  • การประกาศชื่อ “กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์” ให้เข้ามานั่งเป็นประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือประธานบอร์ด ตลท. คนล่าสุด ทำคนในแวดวงตลาดทุนต่างขานรับประธานบอร์ดตลาดหุ้นคนที่ 19 กันล้นหลาม เพราะได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน กฎหมายภาษี กฎหมายล้มละลาย และกฎหมายหลักทรัพย์ มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ทำงานคร่ำหวอดในวงการตลาดทุนมาอย่างยาวนาน ในฐานะนักกฎหมายหุ้นส่วน เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ สำนักกฎหมายระดับท็อปของโลก และนั่งเป็นกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ มาหลายยุคหลายสมัย

Latest


การประกาศชื่อ “กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์” ให้เข้ามานั่งเป็นประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือประธานบอร์ด ตลท. คนล่าสุด ทำคนในแวดวงตลาดทุนต่างขานรับประธานบอร์ดตลาดหุ้นคนที่ 19 กันล้นหลาม

“กิติพงศ์” ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน กฎหมายภาษี กฎหมายล้มละลาย และกฎหมายหลักทรัพย์ มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ทำงานคร่ำหวอดในวงการตลาดทุนมาอย่างยาวนาน ในฐานะนักกฎหมายหุ้นส่วน เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ สำนักกฎหมายระดับท็อปของโลก และนั่งเป็นกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ มาหลายยุคหลายสมัย

การเข้ามานั่งกุมบังเหียนเป็นประธานบอร์ดตลาดหุ้นของ “กิติพงศ์” ในสถานการณ์ที่ตลาดทุนกำลังเผชิญกับมรสุมการเปลี่ยนผ่าน การเปลี่ยนแปลงของโลกตลาดทุนอย่างมากมาย ท่ามกลางอาชญากรรมในตลาดหุ้น พวกฉ้อฉลกลโกงที่อาศัยเทคโนโลยีและช่องว่างทางกฎหมาย เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ เอาเปรียบผู้ลงทุนกำลังเหิมเกริม!!

ขณะที่การทำความผิดในตลาดหุ้นมีความซับซ้อนมากขึ้น ทำกันเป็นขบวนการ ทั้งการปั่นหุ้น การใช้ข้อมูลวงในซื้อขายหุ้น “อินไซเดอร์เทรดดิ้ง” และผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนสร้างกลโกงตกแต่งบัญชี จนสร้างความสั่นคลอนให้กับตลาดทุนและความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

กับกรณี “อภิมหาโคตรโกง” ของกลุ่มผู้บริหารบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “STARK” ที่สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนในตลาดหุ้น ทั้งรายย่อย รายใหญ่ กองทุน นักลงทุนสถาบัน รวมทั้งธนาคารเจ้าหนี้ ผู้ถือหุ้นกู้มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท กับการซื้อขายหุ้น บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ที่กลุ่มนักลงทุนขาใหญ่ รวมหัวกันปล้นโบรกเกอร์

ขย่มให้หน่วยงานกำกับอย่างสำนักงาน ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องยกระดับมาตรการกำกับดูแลตลาดทุนทั้งองคาพยพ ดึงทุกองค์กรที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุนเข้ามาร่วมมือระดมสมอง ปรับแก้กฎระเบียบให้ทันการพัฒนาของเทคโนโลยี และกลโกงรูปแบบใหม่ๆ เพื่อปกป้องคุ้มครองนักลงทุนรายย่อย

ถูกคน.. ถูกเวลา

การเข้ามานั่งหัวโต๊ะเป็นประธานบอร์ดตลาดหุ้นของ “กิติพงศ์” ในวาระนี้ จึงถือว่าเป็นการเข้ามาอย่างถูกต้องเหมาะสม ถูกคน ถูกที่ และถูกเวลาอย่างมาก… ต้องชื่นชม “พิชัย ชุณหวชิร” ที่ลาออกจากประธานบอร์ดตลาดหุ้น เพื่อไปรับตำแหน่ง รมว.คลัง และชี้แนะเสนอชื่อ “กิติพงศ์” ให้เป็นประธานบอร์ดแทน ภายใต้การรับรู้ของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ถือว่ามีวิสัยทัศน์ที่ดีทั้งคู่!!           

คลี่คลายความตึงเครียด!! ที่สถานการณ์ก่อนหน้านี้ ตลาดเงินตลาดทุน ทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. และแบงก์ชาติ โดนกระแสกดดันผ่านสื่อจากฝั่งการเมือง จนเกิดข้อครหาว่า การเมืองเข้ามาแทรกแซงการทำงานของหน่วยงานกำกับตลาดเงินและตลาดทุน ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้น!! แต่ควรเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ร่วมมือประสานการทำงานกันมากกว่า ไม่ใช่ใช้วิธีการขย่มเขย่ากันผ่านสื่อ!!

นอกจากนี้ ด้วยวัยวุฒิคุณวุฒิ connection ของ “กิติพงศ์” ที่มีความกว้างขวาง เป็นที่ยอมรับนับถือของผู้คนในหลายแวดวง เชื่อว่า “กิติพงศ์” น่าจะประสานพูดคุยกับฟากฝั่งการเมือง โดยเฉพาะในส่วนของกระทรวงการคลัง ที่ทำงานเกี่ยวพันใกล้ชิดกันได้ หากเกิดกรณีที่จำเป็นต้องหารือสั่งการ หรือร่วมมือกันแก้ปัญหา รวมทั้งการพัฒนาตลาดทุน เพราะอย่าลืมว่าตลาดทุนไทยคือหนึ่งในเสาหลักสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตได้มาอย่างต่อเนื่อง

สรรหาผู้จัดการตลาดหุ้น! ไม่มีแทรกแซง

ขณะที่นอกจากภารกิจในการปราบโจร เพื่อสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน และการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ทันกับการพัฒนาของตลาดทุนโลกและเทคโนโลยีไอทีต่างๆ แล้ว ภารกิจเฉพาะหน้าที่ “กิติพงศ์” จะต้องทำคือ การสรรหาผู้จัดการตลาดหุ้นคนใหม่ที่จะมาแทน “ภากร ปีตธวัชชัย” ที่จะหมดวาระเดือนกันยายนนี้ เพื่อให้ได้คนที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสม และไม่ถูกแทรกแซงกระบวนการสรรหาว่าเป็นเด็กฝากของใครต่อใครที่ถูกกำหนดตัวมาแล้ว

ซึ่งประเด็นนี้ “กิติพงศ์” ยืนยันว่า ตนเองซึ่งนั่งเป็นประธานสรรหาด้วยนั้น และมีกรรมการสรรหาซึ่งเป็นกรรมการตลาดฯ ล้วนเป็นผู้มีคุณวุฒิ จะไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่นอน!!

“เราต้องสรรหาอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม เพื่อให้ได้คนเก่งที่มีความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์ และมีคุณสมบัติที่เหมาะสมมาเป็นผู้จัดการตลาดหุ้นคนใหม่ได้แน่นอน!!”

ดันไทยศูนย์กลางลงทุนภูมิภาค

“ผมมีความตั้งใจทำหน้าที่ประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างดีที่สุด ผลักดันให้ตลาดทุนไทยเป็นศูนย์กลางลงทุนของภูมิภาค ความร่วมมือกับทุกฝ่ายสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน ทั้งการบังคับใช้กฎหมาย การคุ้มครองนักลงทุนให้มีความเท่าเทียมกัน รวมถึงสร้างความโปร่งใสในการประกอบกิจการของบริษัทจดทะเบียน

ที่สำคัญในฐานะที่ผมเป็นนักกฎหมาย ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายด้วยความรวดเร็ว ชัดเจน และมีการลงโทษอย่างเด็ดขาด ยังมีอีกหลายภารกิจที่ต้องร่วมพัฒนา เช่น ESG, ESG Fund และนำ Carbon Credit มาใช้ให้เห็นผล  การขับเคลื่อนทุกเรื่องที่จะสำเร็จ ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมทั้งองค์กรภายนอกด้วย เพื่อให้ตลาดทุนไทยเป็นกลไกหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน”

ใช้กฎหมายจัดการโจร รวดเร็ว-เด็ดขาด!

“กิติพงศ์” ยังเปิดเผยถึง 4 ภารกิจสำคัญของตนเองว่า 1. สร้างความเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทย จัดการกับกลุ่มทุจริต ทั้งการปั่นหุ้น การตกแต่งบัญชี แม้การทำผิดมีความซับซ้อนมากขึ้น ทำให้การตรวจสอบยากขึ้น สิ่งสำคัญคือต้องสร้างองค์ความรู้ทั้งกระบวนการ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ทั้งจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ก.ล.ต. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อให้คดีมีความรวดเร็วขึ้น การทำผิดกฎหมายในตลาดหุ้น การฉ้อโกง การปั่นหุ้น ต้องยึดทรัพย์ไว้ก่อน แล้วเร่งกระบวนการพิสูจน์คดี เพื่อเอาผิดผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้อย่างรวดเร็ว โดยต้องแก้กฎหมาย

2. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น กองทุนรวมลดหย่อนภาษีที่นำไปลดหย่อนภาษีได้มากกว่า 5 แสนบาท ซึ่งที่ญี่ปุ่น ผู้ลงทุนลดหย่อนภาษีได้มากถึง 1.5 ล้านบาท นอกจากนี้ ควรมี New Investment ขยายฐานนักลงทุนกลุ่มใหม่ โดยตั้งกองทุนรวมเยาวชน ที่ผู้ปกครองซื้อลงทุนให้ลูก และขายได้เมื่อลูกอายุ 18 ปี และนำมาลดหย่อนภาษีได้ เป็นต้น รวมทั้งกองทุนรวมสำหรับผู้สูงวัย ที่สะสมเงินเข้ากองทุน หลังจากเกษียณแล้ว สามารถทยอยเบิกเงินไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ทุกเดือน รวมทั้งหาบริษัทต่างประเทศเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย

ใช้ AI ตรวจความผิดปกติ-สร้างตำราตลาดทุน

3. สร้างความเป็นธรรมและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตลาดทุน โดยใช้กลไกของข้อมูลปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำรวจงบดุลของบริษัทจดทะเบียนที่มีความน่าสงสัย เช่น บริษัทที่ทำธุรกิจเดียวกันขาดทุน แต่หากมีบริษัทไหนที่มีกำไรขึ้นมาแล้ว ตรวจสอบพบความน่าสงสัย ระบบจะแจ้งเตือนนักลงทุนถึงความผิดปกติ เหมือนสัญญาณเตือนอันตราย (Red flag) ว่าบริษัทนั้นมีความผิดปกติอย่างไร เพื่อเป็นข้อมูลให้นักลงทุนตัดสินใจ และเรียกผู้ตรวจสอบบัญชีมาสอบถาม โดยอำนาจนี้จะอยู่ที่ ก.ล.ต. และอาจแก้กฎหมายให้ ก.ล.ต. ส่งฟ้องคดีได้เอง หรือยืมตัวอัยการมาชั่วคราวเพื่อร่วมทำคดี ซึ่งญี่ปุ่นทำอยู่ในปัจจุบัน

สำหรับความเท่าเทียมในการซื้อขายหุ้น เช่น การทำเน็กเก็ตชอร์ต (Naked Short) หรือการขายหุ้นโดยไม่มีหุ้นในมือ การส่งคำสั่งซื้อขายอัตโนมัติ (Program Trading) นักลงทุนกลุ่ม High-frequency trading (HFT) หรือผู้เน้นเทรดความเร็วสูง ยังต้องให้ความสำคัญ แต่จะมีมาตรการทั้งการป้องกันและปราบปราม ไม่ให้มีความได้เปรียบนักลงทุนทั่วไป

4. สร้างคัมภีร์การลงทุน สร้างหนังสือหรือตำราเกี่ยวกับตลาดทุนเข้าไปในหลักสูตรของระบบการศึกษา ตั้งแต่ระดับนักเรียนในโรงเรียนและนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในเรื่องการลงทุน และเพื่อให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงตลาดทุนเพิ่มมากขึ้น

เป็น 4 ภารกิจของประธานบอร์ดตลาดหุ้นคนที่ 19 เพื่อสร้างความหวัง ตอกย้ำความเชื่อมั่นว่า “ตลาดทุน” ยังเป็นอีกกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยด้วยความโปร่งใส มีธรรมาภิบาล และเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก 

ติดตามข่าวสารอัปเดต เศรษฐกิจ เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจในประเทศ บทวิเคราะห์เศรษฐกิจ ล่าสุด ได้ที่นี่


ข่าวเศรษฐกิจ : https://www.thairath.co.th/money/economics

เศรษฐกิจในประเทศ : https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ


เศรษฐกิจโลก : https://www.thairath.co.th/money/economics/world_econ


ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

วณิชยา แสงทอง

วณิชยา แสงทอง
ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ