นครศรี เมืองโกโก้

เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีโอกาสร่วมคณะ น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่ จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อตรวจเยี่ยมเกษตรกรและผู้ประกอบการเพาะปลูกโกโก้ ตามแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่จะเร่งยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมโกโก้ ที่ขณะนี้เริ่มมีการเพาะปลูกในหลายๆ พื้นที่ ทั่วประเทศ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทย ก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตโกโก้ของอาเซียน

ด้วยการปักหมุดให้ จังหวัดนครศรีธรรมราชแปรสภาพ เป็น “นครศรีเมืองโกโก้” เพื่อผลักดันให้โกโก้ เป็นอีก 1 ในพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศที่ คาดว่าจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ปีละ 4,000 ล้านบาท

ล่าสุด กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ได้ทำงานร่วมกับ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) จัดทำแผนปฏิบัติการอุตสาหกรรมโกโก้ไทย เพื่อขับเคลื่อนแผนทั้งระยะสั้น ระะยาวกลาง และระยะยาว ที่จะมีการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ประกอบการ, สนับสนุนผู้ประกอบการให้มีศักยภาพเป็นผู้ส่งออกโกโก้ สู่ตลาดโลก เพื่อลดนำเข้า 

โดยแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวจะเสร็จในต้นปีหน้า และจะมีการทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย อาทิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

สำหรับแนวทางจัดทำแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว จะมีการกำหนดให้ภาคใต้ เป็นพื้นที่นำร่อง และเริ่มที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เพราะขณะนี้พื้นที่ของจังหวัด เป็นแหล่งผลิตโกโก้คุณภาพดีของไทย มีพื้นที่เพาะปลูกรวม 1,600 ไร่ ถือเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ มีเกษตรกรเพราะปลูก 3,000 ครัวเรือน มีผลผลิตโกโก้ได้รางวัลระดับโลก อาทิ แบรนด์ภราดัย ที่คว้ารางวัลพิเศษระดับทองสำหรับช็อกโกแลตบาร์ 75% จากจังหวัดนครศรีธรรมราช ประเภทช็อกโกแลตที่ผู้ผลิตมีส่วนร่วมตั้งแต่กระบวนการหลังการเก็บเกี่ยว

นอกจากนี้จะสนับสนุนให้จังหวัดสระแก้วเป็นฐานแห่งการผลิตสำหรับการตั้งโรงงานแปรรูปโกโก้ขนาดเล็ก เพราะมีพื้นที่ปลูกโกโก้มากเช่นกัน

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พืชโกโก้ ถูกจับตามองเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจใหม่และได้รับกระแสความนิยมเพิ่มมากขึ้น สะท้อนได้จากการเติบโตของร้านคาเฟ่ ขนมหวาน ช็อกโกแลตพรีเมียม รวมถึงเทรนด์คนรักสุขภาพ

เนื่องจากโกโก้แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลาย อาทิ อาหารเพื่อสุขภาพชั้นดีเยี่ยม (ซุปเปอร์ฟู้ด) ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ส่งผลให้ประเทศไทยมีพื้นที่เพาะปลูกโกโก้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยข้อมูลปีที่ผ่านมา ประเทศไทยส่งออกโกโก้และของปรุงแต่งจากโกโก้ไปตลาดโลกมูลค่า 69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 64% จากปี 2564 โดยมีญี่ปุ่น อาเซียน เกาหลีใต้เป็นตลาดหลักส่งออกสำคัญ

ที่สำคัญ การทำแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว ถือว่าประเทศไทยมาถูกที่ถูกเวลา เพราะ ไม่เพียงรองรับเทรนด์การบริโภค ที่เติบโตจนทำให้ประเทศไทยต้องนำเข้าโกโก้ ยังช่วยแก้ปัญหาผลผลิตของประเทศล้นตลาด เพราะแม้มีการปลูกในหลายๆ พื้นที่ แต่คุณภาพอาจยังไม่ได้มาตรฐาน 

ดังนั้น ในระยะยาวอาจเกิดภาวะผลผลิตล้นตลาด ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ผลผลิตจากโกโก้ เป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิต 20 แห่งทั่วประเทศเลือกนำเข้าแทนเพราะโกโก้นำเข้ามีคุณภาพที่ดีกว่า ทำให้ราคาผลผลิตโกโก้ที่ผลิตได้ในประเทศตกต่ำ

กระทรวงอุตสาหกรรม จึงจะแก้ปัญหานี้ทั้งระบบ ตั้งแต่การพัฒนาสายพันธุ์, การกำหนดพื้นที่เพาะปลูก, จำนวนเกษตรกร, จำนวนโรงงานผลิต ตลอดจนแผนการนำเข้าและส่งออกอย่างมีระบบ

นอกจากนี้ ยังจะมีการส่งเสริมการลดต้นทุนการผลิตโดยการนำทุกส่วนของโกโก้ มาใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด อาทิ เมล็ดโกโก้ใช้ทำช็อกโกแลตและผงโกโก้ เปลือกใช้เป็นภาชนะใส่ขนม ไอศกรีม เชื้อเพลิงชีวภาพ และปุ๋ย อีกทั้งสามารถต่อยอดเป็นอาหารหรือเครื่องดื่ม ไขมันโกโก้ใช้เป็นส่วนผสมเครื่องสำอาง เปลือกหุ้มเมล็ดใช้เป็นชา และสีย้อมผ้า

กระทรวงอุตสาหกรรม ยังมีแผนการสนับสนุนให้มีการจัดโรดโชว์ในต่างประเทศ เพื่อให้โกโก้ไทยเป็นที่รู้จักในระดับสากลมากขึ้น เพื่อส่งเสริมโกโก้ให้เป็นหนึ่งในพืชแห่งอนาคต (Future Crop) และยกระดับสู่การเป็นไทยโกโก้ฮับ (THAI COCOA HUB) ของอาเซียนในอนาคต

ติดตามข่าวสารอัปเดต เศรษฐกิจ เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจในประเทศ บทวิเคราะห์เศรษฐกิจ ล่าสุด ได้ที่นี่

ข่าวเศรษฐกิจ : https://www.thairath.co.th/money/economics 

เศรษฐกิจนในประเทศ : https://www.thairath.co.th/money/economics/thailand_econ

เศรษฐกิจโลก : https://www.thairath.co.th/money/economics/world_econ