เมื่อ AI กำลังเปลี่ยนโลก โอกาสสำหรับนักลงทุนมีอะไรบ้าง?

Experts pool

Columnist

Tag

เมื่อ AI กำลังเปลี่ยนโลก โอกาสสำหรับนักลงทุนมีอะไรบ้าง?

Date Time: 14 ก.ค. 2566 08:00 น.

Video

สาเหตุที่ทำให้ Intel อดีตยักษ์ใหญ่ชิปโลก ล้าหลังยุค AI | Digital Frontiers

Summary

  • ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา AI เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่ง StashAway มองว่า AI ยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมากในระยะยาว บทความนี้เราจึงอยากให้เห็นภาพว่า การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีครั้งสำคัญนี้จะส่งผลกับพวกเราทุกคนอย่างไรและโอกาสของนักลงทุนจะมีอะไรบ้าง?

Latest


AI กำลังเปลี่ยนโลก

AI จะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้เหมือนครั้งที่โลกเปลี่ยนผ่านสู่ยุค ‘อินเทอร์เน็ต’ หรือไม่ สิ่งหนึ่งที่ชัดเจน คือ AI มีแนวโน้มสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และเทคโนโลยีนี้ก็เป็นส่วนสำคัญของสิ่งที่นักวิเคราะห์เรียกว่า ‘การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4’ โดย AI จะเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของผู้คน ช่วยให้เศรษฐกิจโลกเติบโต และอาจสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ อีกมากมายในอนาคต

พลิกโฉมตลาดแรงงานทั่วโลก 

คาดกันว่าการพัฒนา AI ในช่วงไม่นานมานี้ จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในตลาดแรงงานทั่วโลก งานวิจัยจาก Goldman Sachs แสดงให้เห็นว่า ตำแหน่งงาน 300 ล้านตำแหน่งอาจถูกทดแทนด้วยระบบอัตโนมัติ แม้บางส่วนจะถูกทดแทนโดยสมบูรณ์ แต่ AI จะกลายมาเป็นเครื่องมือช่วยเหลือแรงงานมากกว่าทดแทน โดยผลสำรวจจาก World Economic Forum ที่มองไปในทิศทางเดียวกัน ระบุว่าบริษัทราว 50% คาดว่า AI จะทำให้เกิดการจ้างงานสุทธิเพิ่มขึ้น มีเพียง 25% ที่มองว่าจะทำให้ตำแหน่งงานลดลง 

ท้ายที่สุดแล้วจะมีตำแหน่งงานใหม่ๆ เกิดขึ้น แต่งานเหล่านี้จะมีรูปแบบต่างไปจากในปัจจุบัน เห็นได้จากงานวิจัยของ David Autor นักเศรษฐศาสตร์จาก MIT ซึ่งแสดงให้เห็นว่า 60% ของตำแหน่งงานที่มีในปัจจุบันนั้นไม่เคยมีอยู่ในช่วงทศวรรษ 1940

เพิ่มประสิทธิภาพและสร้างนวัตกรรม

AI ยังมีศักยภาพที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในภาคธุรกิจอย่างเห็นได้ชัด ด้วยระบบอัตโนมัติและความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้ทำให้บริษัทต่างๆ ตัดสินใจได้เร็วขึ้น ลดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น และในท้ายที่สุดจะทำให้กำไรเพิ่มมากขึ้นด้วย โดย Goldman Sachs ประเมินว่า Generative AI สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ 1.5% ต่อปีตลอดทศวรรษหน้า ซึ่งอาจทำให้กำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นถึง 30% ในช่วงเวลาดังกล่าว

เร่งการเติบโตของ GDP โลก

ในระยะยาว การเติบโตทางเศรษฐกิจจะมาจาก 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ เงินทุน แรงงาน และประสิทธิภาพในการทำงาน (Productivity) หากเรามองให้ลึกลงไปจะเห็นว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นเมื่อเทคโนโลยีใหม่ๆ สามารถช่วยให้แรงงานหรือเครื่องจักรเพิ่มผลิตผลโดยใช้ด้วยจำนวนทรัพยากรเท่าเดิม สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นให้เราเห็นเมื่อมีการพัฒนาเครื่องจักรไอน้ำ และอินเทอร์เน็ต หากเป็นเช่นนั้น คาดกันว่า AI จะช่วยเพิ่ม GDP ทั่วโลกได้หลายล้านล้านดอลลาร์ โดย Goldman Sachs คาดว่า AI จะช่วยเพิ่ม GDP ได้มากถึง 7% หรือคิดเป็นเงิน 7 ล้านล้านดอลลาร์ ตลอดช่วงทศวรรษหน้า ส่วนงานวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ของ McKinsey ประเมินว่า Generative AI จะช่วยเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจโลก 4.4 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งมากกว่า GDP ของสหราชอาณาจักรในปี 2021

การนำ AI มาใช้ประโยชน์มากขึ้นยังเกิดในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพราะจำนวนประชากรผู้สูงอายุในหลายๆ ประเทศ เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และญี่ปุ่น กำลังสร้างแรงกดดันต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ นับเป็นโชคดีที่บริษัทและรัฐบาลของประเทศเหล่านี้ได้มุ่งหน้าสู่ยุคหุ่นยนต์เรียบร้อยแล้ว โดยค่า Robot Density (จำนวนหุ่นยนต์ทำงานต่อแรงงาน 100 คน) ในประเทศเหล่านี้อยู่ที่ 10x 6.7x และ 4x ตามลำดับ ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 1.4x

ทั้งนี้ การนำ AI มาใช้ยังนับว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้น เห็นได้จากกราฟ S-curve ด้านล่าง ซึ่งแสดงให้เห็นเส้นทางการเปิดรับเทคโนโลยีและเทรนด์ต่างๆ มาใช้ (Adoption) และ AI นั้นอยู่ในช่วงสุดท้ายของ Early Adopters ซึ่งก็ใกล้ถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดด

นักลงทุนจะได้รับประโยชน์จากเทรนด์นี้อย่างไร

StashAway มองว่า การลงทุนใน AI คือ เกมระยะยาว เพราะคงมีบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่งที่จะเป็นผู้ชนะอย่างเด็ดขาดในระยะสั้น เนื่องจากพวกเขาสามารถทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีต้นทุนสูงอย่าง โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่เป็นส่วนสำคัญของ Generative AI แต่เมื่อใดที่ AI ถูกใช้ในวงกว้างมากขึ้น ผู้ได้รับประโยชน์รายต่อไปจะเป็นบริษัทและภาคธุรกิจข้างเคียง เช่น Supply Chain ของบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ หรือบริษัทที่สามารถปรับใช้เทคโนโลยีนี้ได้อย่างรวดเร็ว เช่น ธุรกิจให้บริการผู้บริโภคหรือบริการด้านการเงิน 

ข่าวดี คือ การลงทุนในดัชนีหุ้นโดยรวมมี Exposure ในบริษัทเหล่านี้อยู่แล้ว โดยเราประเมินว่า อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและธุรกิจใกล้เคียงมีสัดส่วนถึง 46% ของดัชนี MSCI China และ 42% ของดัชนี S&P 500

หากคุณลงทุนในดัชนีหุ้นโดยรวมเหมือนในพอร์ต General Investing ของ StashAway คุณจะมี Exposure ในเทรนด์นี้อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ดัชนีเหล่านี้เป็นดัชนีตามมูลค่า หรือ Market Capitalisation-weighted Index ซึ่งจะปรับเพิ่ม-ลดบริษัทหรือปรับสัดส่วนตามการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าตลาด ดังนั้นหากคุณ Stay Invested คุณจะมี Exposure ในบริษัทที่อาจเป็นผู้ชนะในอนาคตตามกลไกนี้

อย่างไรก็ตาม หากคุณสนใจการลงทุนใน AI โดยเฉพาะ Flexible Portfolio ของเรา มีประเภทสินทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจนี้ เช่น คลาวด์คอมพิวติ้ง หรือเซมิคอนดักเตอร์ ขณะที่ธีม Technology Enablers ใน Thematic Portfolio ของเรา ยังมีการลงทุนที่เน้น AI และกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องมากยิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับ ‘สินทรัพย์ปรับสมดุล’ เช่น ทองคำ ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากตลาดขาลงได้ด้วย

ในท้ายที่สุด ความท้าทายหลากหลายรูปแบบอาจเกิดขึ้นได้ในช่วงที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจดึงดูดให้นักลงทุนบางกลุ่มทุ่มเงินก้อนใหญ่ลงไปในเทรนด์นี้ แต่เรายังเชื่อว่าการลงทุนในพอร์ตที่มีการกระจายการลงทุนที่ดีอย่างต่อเนื่อง ยังคงเป็นกลยุทธ์แห่งชัยชนะในยุคสมัยของ AI


Author

ยศกร นิรันดร์วิชย, CFA

ยศกร นิรันดร์วิชย, CFA
กรรมการผู้จัดการ บลจ. สแทชอเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด