ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกรายงานประจำปี 2559 ในส่วนของงบแสดงฐานะทางการเงิน พบว่า สิ้นปี 2559 ธปท.มีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยมีสินทรัพย์ทั้งสิ้น 4.21 ล้านล้านบาท ขณะเดียวกันมีหนี้สินและทุนรวมกันเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าเช่นกัน โดยมีหนี้สินและทุนรวมกันทั้งสิ้น 4.96 ล้านล้านบาท โดยหนี้สินที่เพิ่มขึ้นนั้น ส่วนใหญ่มาจากการออกพันธบัตร ธปท.เพิ่มขึ้น และผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน
ทั้งนี้ ในส่วนหนี้สินที่เพิ่มขึ้นนั้น ได้ส่งผลให้ส่วนของทุนของ ธปท.สิ้นปี 2559 ติดลบเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า โดยสิ้นปี 2559 ส่วนทุนของ ธปท.ติดลบเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 745,763 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ส่วนของทุนติดลบอยู่ที่ 606,229 ล้านบาท โดยทุนที่ติดลบเพิ่มขึ้นดังกล่าว
ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากรายได้ที่ต่ำกว่ารายจ่าย โดยในปี 2559 ธปท.มีรายได้ทั้งสิ้น 78,163 ล้านบาท แต่มีรายจ่ายสูงถึง 158,970 ล้านบาท ทำให้มีผลขาดทุนสุทธิในปี 2559 ที่ผ่านมาทั้งสิ้น 80,807 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้าที่มีผลขาดทุนทั้งสิ้น 89,136 ล้านบาทเล็กน้อย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ผลขาดทุนดังกล่าวมาจากการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศสุทธิ 57,437 ล้านบาท ซึ่งส่วนนี้เป็นการขาดทุนเพื่อการดูแลเสถียรภาพค่าเงินบาท และอีกส่วนเป็นผลจากการออกพันธบัตร ธปท.เพื่อดูแลสภาพคล่องในประเทศ โดยภาระดอกเบี้ยจ่ายในส่วนนี้ที่ ธปท.ต้องจ่ายในปี 2559 มีทั้งสิ้น 82,273 ล้านบาท ขณะที่รายรับดอกเบี้ยที่ได้จากการนำเงินสำรองไปลงทุนในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 53,216 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การขาดทุน 80,807 ล้านบาท ของ ธปท.ในส่วนนี้ถือเป็นการขาดทุนสุทธิ แต่หากคิดผลขาดทุนจากการดำเนินงานของ ธปท. ซึ่งคิดรวมส่วนเปลี่ยนแปลงในบัญชีเงินสำรองอันเกิดจากการตีราคาสินทรัพย์และหนี้สิน การขาดทุนจากการประมาณการตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัย ธปท.จะมีผลขาดทุนเบ็ดเสร็จในปี 2559 รวมทั้งสิ้น 139,533 ล้านบาท
ทั้งนี้ ธปท.ได้ให้เหตุผลเพิ่มเติมประกอบงบการเงินดังกล่าวด้วยว่า สาเหตุการขาดทุนในปี 2559 เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และจากการจ่ายดอกเบี้ยเพื่อดูดซับสภาพคล่องในการดำเนินนโยบายการเงิน อย่างไรก็ดี ผลขาดทุนสะสมดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อความสามารถในการดำเนินงานต่อเนื่องของ ธปท.