ไม่ใช่แค่การเข้ามาของ “ทุนต่างชาติ” ในไทยมากขึ้น ที่ทำให้ธุรกิจการศึกษาในบ้านเราเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัย แต่ วัยใช้เงิน วัยสร้างตัว และเด็กแรกเกิดที่ลดลงอย่างน่าใจหาย ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา จนคาดว่าอีกไม่ถึง 50 ปีข้างหน้า ประชากรไทยจะเหลือไม่ถึง 56 ล้านคน
จากสถานการณ์คนรุ่นใหม่แต่งงานช้าลง เรียนสูงขึ้น มีค่านิยมอยู่เป็นโสด หรือแต่งงานมีคู่ครอง แต่เลือกที่จะไม่มี “ลูก” ไม่นับรวมปัจจัยทางเศรษฐกิจ สภาพสังคม เครียดมีปัญหาด้านการเจริญพันธุ์ ฯลฯ
ส่งผลให้จำนวนนักเรียน, นักศึกษาในสถาบันการศึกษาลดน้อยถอยลงทุกระดับ จนนำไปสู่การปิดกิจการลงหลายแห่ง สวนทางโรงเรียนนานาชาติเปิดให้บริการใหม่มากขึ้นแบบชัดเจนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ขณะในกลุ่มมหาวิทยาลัยของเอกชนพบทางรอดสำคัญ คือ การพยายามดึงกลุ่มนักศึกษาชาวต่างชาติให้เข้ามาเรียนมากขึ้น
ข้อมูลสำคัญจาก “สุรเชษฐ กองชีพ” หัวหน้าฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา คุชแมน แอนด์ เวคฟิลด์ ประเทศไทย เผยว่า แม้ชาวต่างชาติเข้ามาเรียนในระดับอุดมศึกษาของประเทศไทยนานมากแล้ว ราว 20 ปี แต่ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่ในไม่กี่มหาวิทยาลัย
ซึ่งแตกต่างจากสถานการณ์ในปัจจุบันชัดเจน เนื่องด้วยทุกมหาวิทยาลัยในประเทศไทยพยายามเข้าถึงกลุ่มชาวต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่ต้องการเรียนต่อระดับอุดมศึกษาในประเทศของตนเอง เพราะการแข่งขันที่สูงเกินไป และต้องการภาษาต่างประเทศ
ปัจจัยอีกอย่างคือ เรื่องของค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับในประเทศตนเอง หรือประเทศที่ใช้ภาษาต่างประเทศในการสอนอื่น ๆ จะพบว่าค่าเล่าเรียนในประเทศไทยต่ำกว่าชัดเจน แต่คุณภาพทางการศึกษาไม่ได้น้อยกว่าประเทศอื่น ๆ มากนัก
ทั้งนี้ จึงทำให้จำนวนของชาวต่างชาติที่เข้ามาศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาในประเทศไทยมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยข้อมูลของกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมระบุว่าภาคการเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 มีชาวต่างชาติที่เข้ามาเรียนในระดับอุดมศึกษาทั้งหมด 53,006 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นมาจากปี 2561 ที่มีเพียง 23,388 คนเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ประเด็นที่น่าสนใจคือ การพบว่าช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมามีนักศึกษาจีนเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยไทยมากขึ้นอย่างชัดเจน
“สุรเชษฐ กองชีพ” ชี้ว่า นักศึกษาจากชาติต่าง ๆ ทั้งกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน และในอาเซียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่หากโฟกัสแค่นักศึกษาจีนในไทยที่มีมากถึง 28,052 คน จะคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 53% ของนักศึกษาต่างชาติทั้งหมดที่เข้ามาเรียนระดับอุดมศึกษาในประเทศไทยเลยทีเดียว
อีกทั้ง เป็นตัวเลขมากกว่าตอนปี 2563 ที่มีเพียง 14,423 คน เท่ากับนักศึกษาจากประเทศจีนมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึงปีละประมาณ 24%
ซึ่งจากการที่นักเรียน นักศึกษาจากประเทศจีนเข้ามาเรียนในทุกระดับการศึกษาในประเทศไทยมากขึ้นนั้น กลายเป็น 1 ปัจจัยสำคัญในการเข้ามาของกลุ่มนักลงทุน หรือนักธุรกิจจากประเทศจีนที่ต้องการเข้ามาลงทุนหรือซื้อกิจการโรงเรียน และมหาวิทยาลัยในประเทศไทย จากนั้นทำกิจการทางการตลาดหรือการประชาสัมพันธ์ในประเทศจีนเพื่อดึงคนจีนเข้ามาเรียนหนังสือในประเทศไทยให้มากขึ้นเท่าที่เป็นข่าว ตั้งแต่ช่วงปี 2560 - 2561 แน่นอนแล้ว 3 มหาวิทยาลัย คือ
1. มหาวิทยาลัยเกริก
2. มหาวิทยาลัยชินวัตร
3. มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด
ซึ่งทั้ง 3 มหาวิทยาลัยอยู่ในสถานะของนิติบุคคล ดังนั้น การเข้ามาของนักลงทุนจีนในทั้ง 3 มหาวิทยาลัย จึงเป็นการเข้ามาซื้อหุ้นในบริษัท อาจจะซื้อมากกว่ากึ่งหนึ่งหรือเทกโอเวอร์แบบ 100% แล้วหาผู้บริหารที่มีสัญชาติไทยเข้ามาร่วมเป็นกรรมการบริษัทหรือใช้ผู้บริหารและกรรมการชุดเดิมมาร่วมเป็นคณะกรรมการ แต่เพิ่มเติมคนจีนเข้าไปในคณะกรรมการบริษัทเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายของประเทศไทย หรือมีส่วนของบริษัทที่มีคนจีนเป็นกรรมการเข้ามาเป็น 1 ในผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทที่มีชื่อเป็นเจ้าของมหาวิทยาลัย
ขณะบางมหาวิทยาลัยมีการเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายไปอย่างชัดเจน โดยมีนักศึกษาจีนเข้ามาเป็นนักศึกษากลุ่มหลักของมหาวิทยาลัยไปแล้วในปัจจุบัน
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยที่มีจำนวนนักศึกษาจีนส่วนใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยที่อยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ขณะในพื้นที่อื่น ๆ มีบ้าง เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยพายัพ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งเกือบทั้งหมดอยู่ในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งนั้น เป็นต้น
ที่มา: คุชแมน แอนด์ เวคฟิลด์ ประเทศไทย, ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม