นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการคลังกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่..) พ.ศ. .... โดยกำหนดหลักเกณฑ์สำหรับกลไกราคาคาร์บอนในพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน เพื่อให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค รวมถึงเป็นเครื่องมือการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ
โดยมีสาระสำคัญ 1.สินค้าที่จะกำหนดกลไกราคาคาร์บอนเป็นสินค้าในตอนที่ 1 สินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันตามพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ดังนี้ ประเภทที่ 01.01 น้ำมันเบนซินและน้ำมันที่คล้ายกัน รวมถึงแก๊สโซฮอล์ ประเภท 01.03 น้ำมันก๊าดและน้ำมันที่ให้แสงสว่างที่คล้ายกัน ประเภท 01.04 น้ำมันเครื่องบินไอพ่น ประเภท 01.05 น้ำมันดีเซลและน้ำมันอื่น ๆ ที่คล้ายกัน รวมถึงน้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลผสม ประเภท01.07 ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ก๊าซโพรเพรน และก๊าซที่คล้ายกัน ประเภท01.12 น้ำมันเตาและน้ำมันที่คล้ายกัน
2.การกำหนดราคาคาร์บอนทำตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด ซึ่งเบื้องต้นกำหนดที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอนเทียบเท่า 3. กำหนดกลไกราคาจากราคาคาร์บอนที่กำหนดคูณกับค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันแต่ละชนิด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน ได้ตั้งป้อมคัดค้านโดยได้สอบถามกลางวง ครม.ว่า การกำหนดราคาคาร์บอนน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันที่ 200 บาท จะส่งผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันเพิ่มขึ้นหรือไม่ ซึ่งนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ตอบว่า จะไม่มีผลต่อราคาขายปลีก ที่ประชุม ครม.จึงอนุมัติ ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานได้เสนอความเห็นต่อ ครม.เป็นลายลักษณ์อักษร ด้วยว่า การกำหนดกลไกราคาคาร์บอนฯ อาจจะส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในอนาคต ทำให้ต้นทุนในภาคขนส่งได้รับผลกระทบนำไปสู่ปัญหาราคาสินค้าี่เพิ่มขึ้น ซึ่งกระทบต่อเงินเฟ้อ ค่าครองชีพของประชาชน และอุตสาหกรรมการผลิตในระยะยาว