ปัจจุบัน เฉพาะทำเล กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านจัดสรรคงค้างรอขายอยู่ประมาณ 1.5 แสนหลัง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการขายแบบไม่มีซัพพลายใหม่เข้ามาเติม นานถึง 5 ปีถึงจะหมด
ขณะสต็อกคอนโดมิเนียมค้างอยู่ในมือผู้ประกอบการไม่ต่ำกว่า 80,000 ยูนิต คาดต้องใช้เวลา 2-3 ปีถึงจะระบายได้หมดเช่นกัน
ก็เนื่องมาจากปัญหากำลังซื้อของ “คนไทย” อ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด เผชิญทั้งปัญหาเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวไม่ทั่วถึง หนี้ครัวเรือนกดดัน สถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อ ไม่ค่อยมีการผ่อนปรนหรือประนีประนอมแบบก่อนหน้านี้ รวมถึงการหายไปยังไม่กลับมาของนักลงทุนต่างชาติในกลุ่มคอนโดฯ กระทบความเป็นอยู่ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ระดับเล็กไปถึงบิ๊กแบรนด์
อย่างไรก็ตาม แม้ปีนี้อาจจะเป็นปีที่ไม่ได้เห็นการสร้างรายได้หรือกำไรที่โดดเด่นมากนักในกลุ่มบริษัทอสังหาฯ แต่ก็มีการประเมินออกมาว่าจนถึงสิ้นปี 2567 อาจมีผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายยังสามารถสร้างรายได้และกำไรสุทธิได้มากกว่าปีที่ผ่านมา หลังเปลี่ยนเกมเล่นหันเจาะตลาดคนรวย พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยราคาระดับสูงมากขึ้น
รวมไปถึงการเข็นแคมเปญ - โหมโปรโมชั่นสนับสนุนการขายอย่างหนัก ส่งผลให้ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง สวนทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยรวมที่กำลังก้าวเข้าสู่ความท้าทายในรอบ 10 ปี
เจาะผลประกอบการของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์บางราย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2567 อ้างอิงข้อมูลรวบรวมของ Property DNA รายงานว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่มีรายได้รวมมากที่สุดในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ของปี 2567 คือ
อันดับ 1 : แสนสิริ รายได้จำนวน 28,877 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการขายบ้านในโครงการจัดสรร โดยเฉพาะกลุ่มบ้านลักชัวรี่ที่มีราคาแพง ส่วนคอนโดมิเนียมมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการในต่างจังหวัดในสัดส่วนที่มากกว่ากรุงเทพฯ
อันดับ 2 : เอพี (ไทยแลนด์) รายได้รวม 27,676 ล้านบาท สัดส่วนของรายได้หลักมาจากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบมากกว่าคอนโดฯ เช่นกัน
อันดับ 3 : ศุภาลัย รายได้กว่า 22,792 ล้านบาท
ส่วนผู้ประกอบการอีก 2 รายที่มีรายได้รวม 9 เดือนแรกมากกว่า 10,000 ล้านบาท คือ กลุ่มเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น และเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 14,454 ล้านบาท และ 13,534 ล้านบาท ตามลำดับ
ในส่วนของกำไรสุทธิอาจจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก โดยเฉพาะในกลุ่ม 3 อันดับแรกที่มีกำไรสุทธิอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
อันดับ 1 : ศุภาลัย มีกำไรสุทธิ 4,201 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 6% เนื่องจากโครงการเปิดขายใหม่บางโครงการได้รับการตอบรับสูงมาก
อันดับ 2 : แสนสิริ มีกำไรสุทธิ 4,009 ล้านบาท
อันดับ 3 : เอพี (ไทยแลนด์) กำไรสุทธิ 3,727 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามทั้งแสนสิริและเอพีฯ อาจจะมีกำไรลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ก็ยังมากเป็นอันดับที่ 2 และ 3 ขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่ประกาศผลประกอบการออกมาแล้วก็มีผลกำไรที่น่าสนใจ เพราะมีกำไรมากกว่า 1,000 ล้านบาททุกราย ซึ่งถือว่าเป็นผลประกอบการที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับปัญหาต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อการซื้อที่อยู่อาศัยในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ต้องรอติดตามผลประกอบการของ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ อีก 1 ราย ที่เดิมที มักอยู่ท็อปบนของตารางทั้งในแง่รายได้และกำไรสุทธิ
ทั้งนี้ Thairath Money รวบรวมตัวเลขผลประกอบการของบริษัทอสังหาฯ ดัง จำนวน 7 รายเพิ่มเติม (ม.ค.-ก.ย. 2567) ได้แก่ แสนสิริ, เอพี (ไทยแลนด์), ศุภาลัย, เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น, เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย), แอสเซทไวส์ และควอลิตี้เฮ้าส์ ทำรายได้รวมกันมากกว่า 1.21 แสนล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิรวมอยู่ที่กว่า 1.76 หมื่นล้านบาท
ที่มา : Property DNA
ติดตามข่าวสารด้านการตลาด กับ Thairath Money ได้ที่
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney