เอ็กซิมแบงก์เตือนผู้ส่งออกเกาะติดผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ-ความขัดแย้งระหว่างประเทศ เพราะไม่ใช่เรื่องไกลตัว จะเพิกเฉยอีกต่อไปไม่ได้ เพราะทำให้ค่าเงินบาทผันผวน ค่าระวางเรือเพิ่มสูงสุด ทุกฝ่ายต้องปรับตัวเข้ากับความขัดแย้ง ความไม่แน่นอนต่างๆให้ได้
นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศ ไทย (ธสน.) หรือเอ็กซิมแบงก์ เปิดเผยว่า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ทั้งปัญหาในตะวันออกกลาง การเลือกตั้งประธานาธิบดี สหรัฐฯไม่ใช่เรื่องไกลตัวที่จะเพิกเฉยอีกต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะทำให้เกิดความผันผวนทางเศรษฐกิจได้ ทั้งค่าเงินบาทและการส่งออก ดังนั้น ผู้ส่งออกต้องเกาะติดสถานการณ์ต่างประเทศอย่างใกล้ชิด
สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างนางกมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต และนายโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ในวันที่ 5 พ.ย.นี้ ที่ยังเดาไม่ออกว่าใครจะชนะ แต่เชื่อว่าผลที่ออกมาจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งโลก โดยสิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือเรื่องค่าเงิน ค่าระวางเรือ ซึ่งจะเห็นแล้วว่าค่าส่งเรือตู้ขนาด 40 ฟุต กระโดดขึ้นไป 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ แล้ว ดังนั้น ทุกคนจำเป็นต้องปรับตัวให้ยืดหยุ่นสอดรับกับความขัดแย้ง และความไม่แน่นอนต่างๆที่จะเกิดขึ้นให้ได้
ทั้งนี้ การเลือกตั้งของสหรัฐฯจะมีผลต่อค่าเงินบาท การลงทุนต่างชาติในไทย ราคาพลังงาน ตลอดจนค่าระวางเรือ เพราะทั้ง 2 ฝ่ายมีนโยบายบริหารที่แตกต่างกันชัดเจน โดยเฉพาะนโยบายการทำการค้ากับจีน ซึ่งหากทรัมป์กลับเข้ามา ก็น่าจะเริ่มการทำสงครามการค้าอีกครั้ง และทำให้การค้าจีน-สหรัฐฯลดลงแน่ ซึ่งจะกระทบปลายน้ำมายังการส่งออกไทย รวมถึงสินค้าจีนที่ส่งออกไปตะวันตกไม่ได้ ก็อาจจะมาวนขายในอาเซียนแทน แต่ถ้าแฮร์ริสเป็นฝ่ายชนะ ก็จะเดินได้ตามแบบเดิม เหมือนนายโจ ไบเดน ทำไว้ เพราะจะยึดตามระเบียบกติกาโลกมากกว่า
“ทรัมป์ถือเป็นบุคคลที่คาดเดาได้ยาก และมีความสุดโต่งสไตล์อนุรักษ์นิยม ทำให้มีความเสี่ยงหากทรัมป์หวนคืนตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจก่อสงครามการค้ารอบใหม่ โดยตั้งกำแพงภาษีสูงถึง 60% ยกเลิกนโยบายเพื่อส่งออก เพื่อเน้นการผลิตในประเทศ และอาจทำให้การค้าโลกผันผวน และราคาน้ำมันอาจแพงขึ้น ฉะนั้นภาคธุรกิจต้องใส่เสื้อเกราะให้ตัวเอง ทั้งประกันการผิดนัดชำระค่าสินค้าส่งออก การประกันความเสี่ยงที่อาจได้รับความเสียหายจากกฎระเบียบหรือรัฐบาลประเทศที่เข้าไปลงทุน และซื้อขายสัญญาเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าเพื่อป้องกันความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งธนาคารมีความพร้อมให้บริการเหล่านี้แก่ผู้ส่งออก”
นายรักษ์กล่าวว่า สำหรับการดำเนินการของเอ็กซิม เชื่อว่าในปีนี้เป็นไปเหมือนกันทุกธนาคาร ที่ไม่สามารถเติมสินเชื่อเข้าไปในระบบได้มากเหมือน 1-2 ปีก่อน โดยปัจจุบันเอ็กซิม ปล่อยสินเชื่อคงค้าง 172,000 ล้านบาท มีอัตราเบิกจ่ายสินเชื่อเพิ่มไม่ถึง 2% แต่คาดว่าถึงสิ้นปีจะปล่อยกู้ได้ 185,000 ล้านบาทตามเป้าหมาย โดยเฉพาะช่วง 3 เดือนที่เหลือ จะปล่อยกู้ได้เฉลี่ย 5,000-6,000 ล้านบาท
“แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นชัดคือยอดการซื้อประกันความเสี่ยงทางการค้าในรูปแบบต่างๆ โดยปีนี้มียอดขายกรมธรรม์เพิ่มถึง 10% รวมถึงการซื้ออัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าก็เติบโต 10% ซึ่งเป็นนิมิตหมายอันดี สะท้อนให้เห็นว่าผู้ส่งออกไทยมีความตื่นตัวรับมือความเสี่ยงจากการค้าการลงทุนโลกมากขึ้น แต่ก็จะดีใจมากไม่ได้ เพราะธุรกิจในไทยที่มีกว่า 3.17 ล้านราย เข้ามาทำประกันความเสี่ยงเพียง 30,000 กว่าราย หรือ คิดเป็น 1% กว่าเท่านั้น”.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่